ชะตาฟ้าลิขิต หรือแค่กรอบความคิด?

วันก่อนได้อ่านข่าวผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราคนหนึ่งพูดถึงนักการเมืองคนหนึ่งประมาณว่า “ชะตาชี้ชีวิตของแต่ละคนจะขึ้นอยู่กับชะตากรรม และเราไม่สามารถจะลิขิตอะไรได้” สรุปง่ายๆ คือทิศทางชีวิตของเราจะเป็นไปในทิศทางไหน จะดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับดวงชะตาฟ้าลิขิต ความมุมานะพยายามใดๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราจะเป็นไปในอนาคต ได้ฟังแล้วก็ตลกสิ้นดี..

ผมมักจะเขียนบทความถึงเรื่องหน้าที่การงานอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะสองสามปีหลังๆ ที่มักจะเอาผู้ที่ประสบความสำเร็จระดับโลกทั้งที่เป็นนักกีฬาอย่าง Michael Phelps ที่มีระเบียบวินัยซ้อมว่ายน้ำ กลับมาดูวิดีโอของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเรียกว่าเป็นที่ยอมรับว่าเป็นนักกีฬาว่ายน้ำที่เก่งที่สุดในโลก ไหนจะ Muhammad Ali, Cristainno Ronaldo ไปจนถึงนักวิชาการ นักธุรกิจอย่าง Bill Gates, Ben Horowitz(ผู้เขียนหนังสือ The hard thing about things ที่ผมชอบเล่มนี้มาก), Phil Knight และคนอื่นๆ

คนพวกนี้พยายามกันอย่างมากทั้งนั้น ทุกคนมี DNA ของตัวเอง มี routine ของตัวเอง และที่สำคัญคือมี mindset ที่จะเป็นผู้ชนะหรือไม่ยอมย่อท้อกับอุปสรรคที่เข้ามาไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชนะใจตัวเอง หรือโลกธุรกิจ ผมว่าหนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่สุดเลยคือเชื่อว่าตัวเองสามารถทำได้ เชื่อว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และการไม่มีความคิดแบบผู้แพ้

ไม่มีนามสกุล ไม่มีเส้นสาย ไม่มีเงิน
ยังไม่แย่เท่ามี mindset แบบ loser

ผมเคยเขียนเรื่อง Locus of Control เอาไว้เมื่อนานมาแล้ว เป็นเรื่องที่พูดถึงคำกล่าวอ้างที่เป็นข่าวนั้นได้ดี โดยสรุปง่ายๆ Locus of Control มีสองอย่างคือ

  • Internal Locus of Control
  • External Locus of Control

Internal Locus of Control คือเชื่อมั่นในตัวเอง การเชื่อมั่นในตัวเองไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกับมีความมั่นใจในตัวเองเสมอไป การเชื่อมั่นในตัวเองคือเชื่อว่าตนเองสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สามารถควบคุมปัจจัยบางอย่างที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ แล้วค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเรื่องที่ใหญ่ขึ้น เช่นสมัยเด็กๆ ไม่เก่งศิลปะ บอกตัวเองวาดรูปไม่ได้ แต่ฝึกทุกวัน เกลียดสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้แบบเพื่อน สั่งสมฝึกฝนเรื่อยมาจนเข้ามหาลัยจบออกมาเป็นศิลปินได้ เพื่อลบภาพลบเสียงที่อยู่ในหัวตัวเอง ลบความกลัวของตัวเอง

การทำหลายสิ่งหลายอย่างด้วยตัวเองให้สำเร็จไปทีละน้อยสัมพันธ์กับเรื่อง small wins ที่เป็นกลยุทธ์เพื่อสั่งสมความมั่นใจในตัวเอง พอทำหลายเรื่องที่เล็กน้อยในวันนี้สำเร็จไปทีละหน่อย ความมั่นใจที่จะทำเรื่องที่ใหญ่ขึ้นก็มีมากขึ้น และพอทำสำเร็จไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้เห็นคุณค่าในตัวเอง ซึ่งการเห็นคุณค่าในตัวเองนี้เป็นจุดเริ่มต้นของทัศนคติที่ดีในการทำเรื่องต่างๆ นอกเหนือจากเรื่องงาน ไม่ต่างอะไรกับเครื่องยนต์ที่ดี ทำให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดี

External Locus of Control คือการเชื่อว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นอยู่ และส่งผลกระทบต่อเรานี้เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก ไม่ได้ดิบได้ดีเรื่องงาน ก็โทษว่าหัวหน้าไม่เห็นค่า โทษเพื่อนร่วมงาน โทษลูกค้า โทษซัพพลายเออร์ ไม่เก่งเลข ก็โทษว่าไม่มีหัวด้านนี้ ไม่เก่งเหมือนเพื่อน อาจารย์สอนไม่เข้าใจ ไม่ได้รับโอกาส ก็โทษดวงชะตาฟ้าฝน โทษแม่งทุกอย่าง และคิดว่าเราคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เหมือนเรื่องฟ้าชะตาลิขิตที่กำหนดมาแล้ว

สำหรับผม บางที mindset แบบนี้ก็น่ารำคาญมากๆ และทำให้รู้สึกอยากออกห่าง ผมเคยอ่านบทความของ HBR เรื่องนึงเขียนเกี่ยวกับงานวิจัยว่าคนเราจะทำตัวเหมือนฟองน้ำและซึมซับ 5-6 คนที่อยู่รอบตัว ลองจินตนาการว่าคนที่อยู่รอบตัวเราที่พบเจอกันบ่อยๆ เป็นคนแบบ external locus of control มี loser mindset ก็อาจจะทำให้เรารู้สึกแย่ตามไปด้วย

บางทีบางช่วง วันทุกวันไม่มีเรื่องดีเลย ต้องตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่แย่น้อยที่สุดอยู่อย่างเสมอ แล้วไหนจะต้องพยุงความรู้สึกตัวเองของวันทุกวันให้ก้าวผ่านไปข้างหน้าได้ แล้วถ้าต้องมาเจอคนแบบนี้รอบตัวอีกก็คงแย่กว่าเดิม นี่เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมบางช่วงการหลบไปอยู่เงียบๆ หาอ่านหนังสือดีๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้เจอเรื่องแย่ๆ คนเดียวจะช่วยเยียวยาจิตใจกว่าการเปิดใจไปคุยกับคนอื่นๆ

หลายคนมีวิธีการแก้ไขปัญหาของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน.. แต่ที่แน่นอนอย่างนึงคือเราไม่ควรเอากรอบความคิดที่ตัวเองมีอย่างไอ้เรื่องชะตาฟ้าลิขิตที่ตัวเองเชื่อนักเชื่อหนานี้ไปวางกรอบครอบคนอื่น แล้วเที่ยวบอกว่าคุณข้ามกรอบนี้ไม่ได้ ทำใจยอมรับเสียเถอะ

คุณต้องเป็นคนแบบไหนกัน?

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ