Shoe Dog – จากนักบัญชีสู่เจ้าของบริษัท NIKE

ปกติแล้วผมจะไม่ค่อยอ่านหนังสือที่เป็นชีวประวัติเท่าไหร่ หนังสือที่เกี่ยวกับประวัติบุคคลที่เคยอ่านล่าสุดนั้นต้องย้อนไปถึง Steve Jobs ซึ่งได้อ่านเมื่อหลายปีมาแล้ว ด้วยความที่มองว่าหนังสือประเภทนี้ให้ทริคและเกร็ดในการประกอบธุรกิจน้อยกว่าหนังสือที่เกี่ยวกับหมวดธุรกิจตรงๆ แต่ก็ต้องยอมรับเหมือนกันว่าหนังสือหมวดชีวประวัตินั้นให้แรงบันดาลใจที่น่าสนใจ และ mindset ที่ควรค่าแก่การเอาไปปรับใช้

หนังสือที่ผมซื้อมาอ่านเล่มล่าสุดนี่คือหนังสือที่ออกมานานมากแล้ว(น่าจะปี 2006) แต่อ่านตอนปี 2020 ก็ต้องบอกว่าดูไม่เก่าเลย ได้ประโยชน์อีกทั้งมุมมองหลายด้านยังสามารถนำไปปรับใช้ได้อยู่ในปัจจุบัน หนังสือที่ว่านี้เกี่ยวกับเรื่องชายที่มีความฝัน อยากจะค้นหาตัวเองสมัยวัยรุ่นตอนต้น เป็นเด็กที่ชื่นชอบการวิ่ง เป็นนักบัญชีที่ทำงานบริษัททั่วไป จากนั้นเกิดอยากหาแรงบันดาลใจจึงเดินทางออกไปเที่ยวหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงเคยมาเที่ยวที่วัดพระแก้ว ประเทศไทยด้วย

ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ บุคคลคนนี้ไม่มีเงินมาใช้ในการดำเนินการ หรือขยายกิจการของบริษัท จึงออกเดินทางหาวิธีกู้เงินต่างๆ นาๆ รวมไปถึงการพบเจอผู้คนใหม่ๆ ที่ช่วยขยายกิจการจนใหญ่โตได้ถึงปัจจุบัน รวมไปถึงช่วงที่ต้องต่อสู้เพื่อปกป้องธุรกิจจากการคุกคามทางด้านกฏหมาย ธนาคาร รัฐบาล ฯลฯ

ทำไมเขาถึงต้องกู้เงินจากทุกที่ตลอดเวลาเพื่อมาขยายกิจการให้เติบโตขึ้น และมีปัญหาอะไรบ้างที่ต้องพบเมื่อต้องใช้เงินแต่ไม่มีเงิน สำหรับผมมันเหมือนกับการได้เปิดอีกมุมมองนึง อย่ากลัวที่ต้องขยายหรือเติบโต อย่ากลัวการตัดสินใจเพื่ออนาคต มันเป็นการฉายอีกมุมมองนึงในการเป็นหนี้ได้อย่างน่าตื่นเต้น

หนังสือที่ว่านี้เกี่ยวกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นแบรนด์ที่คงความเสมอต้นเสมอปลายในการสื่อสารสิ่งที่แบรนด์เป็นตั้งแต่เริ่มแรกมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างชัดเจนและได้อารมณ์ ทำให้เกิดแฟนคลับที่ภักดีกับแบรนด์มากมาย แบรนด์ที่ว่านี้คือ NIKE ซึ่งก่อตั้งโดย ฟิล ไนต์ และ Shoe dog นี่คือหนังสือประวัติของผู้ก่อตั้งคนนี้ครับ

เดินทางค้นหาตัวเอง

ช่วงต้นของหนังสือเป็นช่วงที่ตัวละครเรียนจบใหม่ๆ อายุได้ประมาณ 24 ปี ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป รู้แค่ว่าชอบวิ่ง สมัยเด็กเป็นนักกีฬาวิ่งของโรงเรียน ก็ตัดสินใจเดินทางรอบโลกเพื่อไปเที่ยวดูวัฒนธรรมและศึกษาหาตัวตน(ก็เหมือนทุกวันนี้) ได้ไปญี่ปุ่นหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเอเชีย เวียดนาม ไทย ไต้หวัน ได้พบเจอคนใหม่ เห็นนั่นเห็นนี่ และทำสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายรองเท้าให้กับโอนิซึกะ

เปิดบริษัทของตัวเอง

บริษัทแรกของ ฟิล ไนต์ ไม่ได้ใช้ชื่อว่าไนกี้ แต่ชื่อว่า บลู ริบบอน ช่วงแรกกิจการไปได้สวย ถึงแม้ของที่ถูกส่งมาจะช้าบ้าง ไม่ตามกำหนดบ้างแต่ก็พอถูไถ ยอดขายโตวันโตคืน สั่งซื้อสินค้ามามากขึ้น จนติดปัญหาไม่มีเงินทุนหมุนเวียน ก็ทำเรื่องกู้ไปเรื่อยๆ ซึ่งเราจะได้เห็นการกู้หนี้ยืมสินของบริษัทตั้งแต่ช่วงแรกจนถึงช่วงสุดท้ายก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์

ยอดขายประสบความสำเร็จมาทุกช่วง แต่ก็ขาดเงินหมุนเวียนทุกช่วง และตามธรรมชาติของผู้ก่อตั้งก็มีหน้าที่หาเงินมาหมุนให้ได้ ฟิล ไนต์จะเล่าถึงประสบการณ์การกู้เงินทั้งจากธนาคาร บริษัทลงทุน รวมไปถึงประเด็นทางกฏหมาย การโดนกลั่นแกล้ง ผิดสัญญา สารพัดรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ก่อตั้ง

มันเป็นปัญหาที่ดูเหมือนกับเราสร้างบริษัทใหม่ๆ ด้วยตัวเองทุกวันนี้เลยล่ะ

ทีมงานที่ดี

สิ่งที่รู้สึกว่า ฟิล ไนต์ ประสบความสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้จากที่อ่านหนังสือคือ มีทีมงานผู้ร่วมก่อตั้งที่ดี มีใจ และเป็นกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับกีฬากันอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน เรียกได้ว่าช่วงแรกทุกคนที่เข้ามาร่วมคือกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับการวิ่ง จากนั้นก็ค่อยขยับขยาย รู้จักคนมากขึ้น ได้คนร่วมทีมในหลากหลายสาขาวิชาชีพ จากคู้ค้า เพื่อนของเพื่อน เพื่อนมหาลัย เจ้านายเก่า ฯลฯ

และที่สำคัญที่สุดคือ ฟีล ไนต์ ให้ความสำคัญกับคุณภาพของรองเท้า ดูจากช่วงที่เป็นตัวแทนให้โอนิซึกะอยู่ก็ส่งแบบขอปรับแก้ไขหรือปรับบางจุดให้ดีขึ้น เหมาะกับเท้าของคนอเมริกัน เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนขายที่แทบจะทำงานร่วมกันกับโรงงาน เมื่อคุณภาพดีขึ้น ก็เกิดการพูดถึงแบรนด์จึงค่อยๆ โตขึ้นมาเป็นแบรนด์ระดับโลกอย่างในปัจจุบัน

ถ้าถามว่าอะไรน่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ NIKE ประสบความสำเร็จมาถึงทุกวันนี้ หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วก็คงบอกว่าเป็นการใส่ใจที่จะพัฒนาสินค้าให้ดียิ่งขึ้น ทีมงานที่มีคุณภาพ และตัวของเจ้าของที่มีใจทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของบริษัท

หนังสือ Shoe dog ที่เล่าประวัติของ ฟิล ไนต์ และ NIKE นี้ถือเป็นอีกหนึ่งเล่มที่ให้แรงบันดาลใจได้ดีพอๆ กับ Steve Jobs เลยก็ว่าได้ เมื่อได้อ่านแล้วบางช่วงจะเหมือนว่าเราเป็นพวกเดียวกับฟิล รู้สึกมีอารมณ์ร่วมและจินตนาการตามที่เล่า ถือว่าเป็นหนังสือที่อ่านเพลินลืมเวลาอีกเล่มนึง

และแน่นอนว่าเหมาะกับคนที่มีธุรกิจ หรือกำลังเริ่มธุรกิจใหม่เลยล่ะครับ อ่านแล้วรู้สึกว่าอยากโตต้องขยาย ต้องกล้ากู้ และกล้าที่จะหาเงินทุน เป็นอีกหนึ่งหนังสือที่ควรค่าแก่การซื้อเก็บสะสม

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ