เรื่องวันวาน

บ่อยครั้งที่ผมเปรียบเทียบตัวเองในวันนี้กับตัวเองในอดีต การเปรียบเทียบอดีตช่วยให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงและความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ เราบอกตัวเองว่าเราอยากจะดีกว่าเราในวันก่อน เราทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมี progress มีความคืบหน้าในการใช้ชีวิตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราเรียนรู้อะไรใหม่ เรามีอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง ทุกอย่างที่ทำนั้นมีเป้าหมายแบบเดียวกันในทุกวันว่าวันนี้ต้องมีอะไรที่มากขึ้นหรือดีขึ้นกว่าเมื่อวาน แต่การเปรียบเทียบก็มีข้อเสียของมัน คือบางครั้งมันทำให้เราจริงจังและกดดันตัวเองเกินความพอดี

การกดดันตัวเองบางทีก็กระทบคนรอบข้าง สังคมเราแคบลงเพราะเราพยายามจะสร้างสภาพแวดล้อมให้เราเองสามารถเติบโตได้และมีเป้าหมายอย่างที่ตนเองต้องการในแต่ละวัน พอนานวันเข้าสิ่งที่คุ้นชินเรื่องเล็กก็เริ่มกลายเป็นภาพที่เห็นชัดขึ้น เวลาส่วนตัวของเราที่เคยละเลยวันละเล็กละน้อย ตอนนี้ก็แทบจะกลืนไปกับเวลาทำงานจนแยกไม่ออกอีกแล้ว

เราเริ่มไม่มีวันว่าง เริ่มไม่มีวันที่ใช้เพื่อการพักผ่อน ซึ่งนั่นไม่ได้หมายถึงว่าเราไม่ได้โหยหาวันที่จะพัก แต่เราเองนั่นแหละที่แยกไม่ออกว่าเวลาไหนคือเวลาพักเวลาไหนที่จะใช้มันเพื่อการทำงาน มันผสมปนเปกันจนมั่วจนบางทีเราแยกไม่ได้ด้วยตัวเอง ถามว่ามันเจ็บปวดมั้ยก็คงตอบว่าใช่ แต่ถ้าถามต่อว่าเราได้พยายามอย่างจริงจังที่จะแยกมันออกจากกันไหม ก็คงยอมรับว่าไม่

เราไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับการที่เวลาแต่ละส่วนมันรวมกันยุ่งเหยิงแบบนี้ มันรู้สึกเหมือนกับแค่การใช้งานสวิทช์ไฟแค่ เปิดกับปิด เท่านั้น เราอาจจะบอกตัวเองหรือพาตัวเองออกไปพักผ่อนต่างจังหวัด แต่ใจก็คิดเรื่องงานพยายามทำให้มันดีขึ้น หรือกำลังทานข้าวสบายๆ แค่มือถือเรียกเข้าก็คุยเรื่องงานได้ทันทีเหมือนกับตัวเองกำลังทำงานอยู่

เราบอกตัวเองว่าการทำงานทุกวันมันยากลำบาก เราstruggle พยายามมากมากเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ และบางทีก็รู้สึกเหนื่อยหน่าย หมดแรงหมดพลัง เหนื่อยกับเรื่องคนเรื่องปัญหา แต่เราเองก็ไม่เคยที่จะหยุดคิดถึงมัน

Navipitta
Navipitta – IS Project, 2019

เทียบตัวเองในอดีต

มีหลายช่วงเวลาที่ชอบนึกย้อนไปถึงตอนที่เราอยู่กับใคร เราอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ตอนนั้นเรามีอะไรบ้าง ความก้าวหน้าทางการใช้ชีวิตและการงานดีขึ้นไหมเทียบกับตอนนี้ แล้วก็นึกเล่นๆต่อว่าถ้าเราไม่ตัดสินใจเลือกเดินมาเหมือนทุกวันนี้ เราจะอยู่ตรงไหน เราจะก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่นี้ไหม หรือจะย่ำอยู่กับที่เหมือนเดิมแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

แค่ถ้าตอนนั้นเราบอกตัวเองว่าที่เป็นอยู่ก็ดีแล้ว เราจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเองมาเป็นวันนี้หรือเปล่า หรือเราจะได้เรียนรู้อะไรจากการตัดสินใจอยู่แบบ “ดีอยู่แล้ว” ในตอนนั้น

แล้วอนาคตล่ะ อีก 1 ปีต่อจากวันนี้ หรือ 3 ปี 5 ปีต่อจากวันนี้เราจะเป็นยังไง เราจะก้าวหน้าพัฒนามากขึ้นหรือพบกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่ทำให้เราย่ำอยู่กับที่หรือแย่ลง สิ่งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นก็คือผลลัพธ์ของการตัดสินใจในวันนี้ของตัวเองทั้งนั้น ถ้าเราโทษทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการตัดสินใจของเราเองในอดีต ผมคิดว่าเราน่าจะรู้สึกว่าตัวเองสามารถควบคุมผลลัพธ์ในอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย

แต่สุดท้ายที่ได้เรียนรู้คือเราเองนั่นแหละที่ไม่ค่อยได้อยู่กับปัจจุบัน เราคิดถึงแต่เรื่องราวในอดีต คิดถึงความเป็นไปในอนาคต เราใช้ชีวิตทุกวันนี้เหมือนหนูที่วิ่งอยู่ในกงล้อ เฝ้าฝันถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น รู้สึกนึกได้ดีกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว แต่เราเหมือนไม่เคยได้อยู่กับปัจจุบันเลย

แต่พูดไปผมคงไม่เสียใจ ถ้าใจอยากคิดเทียบอดีตกับปัจจุบันแล้วคาดหวังในอนาคตจะทำให้เราก้าวหน้าขึ้น ผมก็คงจะทำแบบนี้ต่อไป จากนี้สัก 2-3 ปีข้างหน้า ค่อยย้อนกลับมาดูคนที่บอกให้อยู่กับปัจจุบันอีกที ว่าเราทั้งหมดนี้จะเป็นยังไงกันบ้าง

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ