จงขอบคุณตัวเองในอดีต

ผมหยุดเขียนบทความไปหนึ่งเดือนพอดี ตอนแรกก็รู้อยู่ตลอดว่าปล่อยบล็อกทิ้งไว้นานแล้ว แต่ก็ยังหาเวลามาเขียนไม่ได้สักที พอคืนนี้พอเคลียร์งานให้ทุเลาลงบ้างก็มาเปิดดูวันที่เขียนล่าสุดของบทความที่แล้ว เป็นวันที่เดียวกับเดือนที่แล้วเลย ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าเราไม่เคยปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้เขียนบทความนานเป็นเดือนขนาดนี้เลยหรอ

3 เดือน ที่ผ่านไปอย่างยากลำบาก

ก่อนจะเขียนบทความนี้ ผมกลับไปไล่ดูบทความเก่า อ่านไปเรื่อยๆเพื่ออยากจะย้อนดูว่าตัวเองเคยประสบปัญหาเรื่องอะไรทำนองนี้บ้างไหม คือจำได้คลับคล้ายคลับคลาอยู่หลายช่วงว่ามีช่วงที่ทำงานหนัก เขียนบ่นไปเรื่อย แต่ที่กลับไปอ่านเจอก็รู้สึกว่ายังไม่เท่าสามเดือนหลังโควิดที่ผ่านมานี้เลย

จริงๆ ตอนที่เราย้อนกลับไปดูเรื่องเก่าๆ เราก็มักจะพบว่าช่วงเวลาที่รู้สึกเหนื่อยมากๆ มักจะเป็นเรื่องของปีล่าสุดทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผ่านไป 3 ปี 5 ปี นั่นอาจจะหมายความว่ายิ่งเราอายุมากขึ้นเท่าไหร่.. เราก็ยิ่งเจอเรื่องที่ต้องเหนื่อยมากขึ้นเท่านั้นหรือเปล่า?

บ่อยครับ ที่เปิดไปดูบทความเก่าแล้วนึกขึ้นมาได้ว่าที่เขียนตอนนั้นมันฟังดูเหนื่อยหรือดูยากยังไงวะ ถ้าต้องเมื่อเทียบกับเรื่องของปีปัจจุบันหรือเรื่องที่กำลังเจออยู่ตอนนี้ แต่มันก็ทำให้เรามีกำลังใจและรู้สึกดีอยู่นิดนึงตรงที่ว่า เรื่องที่เราพบเราคิดว่าเหนื่อยมากวันนี้ อาจจะเป็นเรื่องเล็กมากเลยก็ได้เมื่อเราในอนาคตย้อนกลับมาดูอีกครั้ง

เราอยู่ใกล้ปัญหาเกินไป

การที่เราอยู่ใกล้กับปัญหาเกินไปมันก็เหมือนกับเอาฝ่ามือเข้ามาอยู่ใกล้ตา ทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งที่อยู่หลังมือ มองไม่เห็นวิธีการแก้ไขปัญหาหรือโอกาสที่เข้ามาพร้อมกันได้ การนึกถึงเรื่องที่อยู่ใกล้ความรู้สึกเราที่สุดนั้นเป็นวิธีปกติของมนุษย์นั่นแหละครับ เหมือนกับการที่เราบอกว่า เราเหนื่อย เรามีปัญหาแบบนี้แบบนั้นมาก และเราก็มองปัญหาของคนอื่นเป็นเรื่องเล็ก โดยคิดว่าคงไม่มีใครที่เจอปัญหายากๆแบบนี้เหมือนเราหรอก

ลองคิดกันเล่นๆว่า “เจอมาหนัก” ของเราจะเหมือนหรือเท่ากับของคนอื่นไหม

คนที่เครียดเรื่องเศรษฐกิจหาเงินมาหมุนรถไม่ทันก็อาจจะบอกว่าช่วงนี้เหนื่อยปัญหาเยอะ เจอเรื่องมรสุมหนักหนากับชีวิตมากๆ แต่มันจะหนักเหมือนกับแพทย์ที่ใช้เวลาดูแลคนไข้ช่วงโควิดทั้งเช้าสายบ่ายเย็นไหม คิดเร็วๆก็คงไม่หรอก

คนเราก็มีปัญหาเหมือนกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเรามองปัญหาที่เข้ามานั้นยังไงมากกว่า หลายครั้งที่พยายามบอกตัวเองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นก็หมายถึงโอกาสที่เกิดขึ้นด้วย คนเก่งๆหลายคนมองปัญหาที่เข้ามาว่าเป็นความท้าทาย ต้องการจะเอาชนะ หรือหาวิธีเปลี่ยนมันเป็นโอกาสเพื่อเติบโตได้ดิบได้ดีในวันข้างหน้า.. แล้วเราเองมองปัญหาที่เข้ามานั้นยังไงล่ะ?

หรือกดดันตัวเองเกินไป

หรือจริงๆ แล้วเป็นเพราะเรากดดันตัวเองจนเกินไป พยายามจะหา progress ในทุกๆอย่าง และในทุกๆวัน พยายามจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าวันนี้มีอะไร และได้อะไรมากกว่าเมื่อวาน หรืออย่างน้อยก็เข้าใกล้ความสำเร็จ อาจจะเป็นเป้าหมายส่วนตัว หรือเป้าหมายขององค์กร

มันเหมือนกับว่าเรากำลังใช้ชีวิตเพื่อตัวเองในวันข้างหน้า และคนที่เป็นเราเองในวันข้างหน้าก็กำลังขอบคุณตัวเองในวันนี้ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้อย่างไม่ลดละ.. แล้วความสุขของวันนี้อยู่ที่ไหน

หรือความสุขของวันนี้จริงๆแล้วยังไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น?

สิ่งที่อยากจะเขียนเผื่อตัวเองในวันข้างหน้ากลับมาอ่านคือ ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมานี้เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในกรง วิ่งอยู่ในลู่ ทำแบบเดิมตั้งแต่เช้าตื่นนอนจนถึงตีหนึ่งตีสอง ทำ todo-list ที่ต้องสะสางของวันใหม่ เพื่อที่ตื่นมาแล้วจะได้โฟกัสกับรายการสามสี่รายการที่ต้องเอาให้เสร็จในวันนั้น

แต่มันก็คงเป็นช่วงนี้แหละมั้งที่เหนื่อยหน่อย บริษัทนึงมีส่งงานซอฟต์แวร์ให้ลูกค้า 3 เจ้าปลายเดือนนี้ อีกบริษัทนึงตั้งแต่เบาเรื่องโควิดมาก็เดินสายเข้า 3 incubator 1 contest ไหนจะต้องเขียนแอปฯ และเขียน proposal เสนอขอเงินอีก

คือมันอาจจะเป็นเรื่องเล็กมากก็ได้ไงเมื่อกลับมามองจากวันหน้า แต่ในวันนี้ยังคงหาทางออกไม่เจอ แล้วไม่รู้ว่าอะไรต่างๆก็จะออกมาในรูปแบบไหน สุดท้ายก็ปาความคิดไม่พ้นหัวตัวเอง ได้แต่ขอให้ความทุ่มเทที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ออกดอกออกผลอย่างงดงามในอนาคตนั่นแหละ

ถ้าย้อนกลับมาอ่านแล้ว ก็ขอบคุณตัวเองในอดีตเสียสิ!

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ