แบก

ช่วงที่มีอะไรเกี่ยวกับสตาร์ทอัพ หรือทำธุรกิจแบบที่กระแสกำลังมาแรง ไม่ว่าจะเป็นมาจากซีรี่ย์ มาจากข่าว หรือมาจากหนัง ช่วงนั้นๆมักจะมีคนเข้ามาถามผมบ่อยขึ้นเสมอว่าเป็นไงบ้าง มีแพลนจะทำอะไรอีกไหม หรือถามเรื่องที่ได้ยินมาจากหนังจากข่าว หรือจากอะไรก็ตามแต่เกี่ยวกับการทำธุรกิจสตาร์ทอัพ และส่วนตัวคิดว่าเพื่อนๆพี่น้องที่อยู่ในธุรกิจประเภทนี้ก็มักจะได้รับคำถามหรือเป็นที่สนใจเป็นพิเศษเป็นช่วงๆไปเหมือนกัน

วันนี้เลยอยากจะเขียนเกี่ยวกับธุรกิจของตัวเองเล็กน้อย เผื่อมันช่วยบรรเทาสิ่งที่ต้องแบกไว้หรือสิ่งที่อยู่ในหัวมาตลอดตั้งแต่เปิดบริษัทมาร่วม 5 ปี หลักๆแล้วคิดว่ามีเรื่องที่ไม่ดีมากกว่าเรื่องดี ซึ่งก็คิดว่านั่นเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ทอัพที่กำลัง struggle อยู่ในช่วงแรก

ผมกลับมารันบริษัทด้วยตัวคนเดียวตั้งแต่ประมาณโควิด จากบริษัทที่ได้รับเงินลงทุนโดยไม่ได้ผ่านการระดมทุนหรือเพิ่มทุน แต่เป็นการได้รับในรูปของรายได้ โดยตอนนั้นยังขาดประสบการณ์และความรู้ โดยคิดว่าธุรกิจก็ต้องการเงินทุนมาหมุนเพื่อให้ไปข้างหน้า ฉะนั้นแล้วจะได้เงินทุนมาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ถือว่าเลือกที่จะรับไว้ทั้งหมด โดยไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนว่าต้องเจอภาษีและเรื่องบัญชีมากมายหลายอย่างนั่นคือประสบการณ์ part แรกที่เป็นบทเรียนมาถึงทุกวันนี้

สองคือช่วงก่อนโควิด บริษัทมีแต่รายจ่ายและแทบไม่มีรายได้ พอถึงช่วงวิกฤตทั้งเรื่องของสภาพแวดล้อมภายนอก และการบริหารจัดการภายใน ทำให้ต้องตัดค่าใช้จ่ายแทบทุกอย่างแบบไม่ได้ทันตั้งตัว ให้พนักงานออกโดยจ่ายชดเชยเต็มจำนวนตามกฏหมายแรงงาน นั่งประกาศขายของในสำนักงาน รวมไปถึงต้องย้ายออฟฟิศเพื่อทำให้ค่าใช้จ่ายต่อเดือนน้อยลง โดยจุดหมายคือเพื่อให้บริษัทยังอยู่รอดสามารถดำเนินการต่อไปได้

หลังจากช่วงโควิดเป็นต้นมาจนวันนี้ บริษัทมีพนักงานประจำเพียงคนเดียวคือผมเอง ระหว่างทางถ้ามีงานเข้ามาก็จะเลือกใช้ outsource ที่มีประสบการณ์และเคยทำงานร่วมกันมานานแล้ว เพื่อต้องการความไว้เนื้อเชื่อใจในการทำงานแต่ละงาน และเพื่อให้ส่งมอบงานได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งถ้าพูดไปแล้ววิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ดี และทำให้บริษัทอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ ทำให้ย้อนกลับไปดูวันแรกๆ ว่าเราจะต้องจ้างคนมามากมายทำไมในเมื่อผลลัพธ์ที่มีในปัจจุบันนี้ก็สามารถทดแทนหรือทัดเทียมกับวันเก่าๆเหล่านั้นได้

การตัดค่าใช้จ่ายมันทำให้เรากลายเป็นคนอีกคนได้เหมือนกัน อะไรที่เราไม่เคยคิดจะทำก็จะได้ทำ เพราะมันไม่เหลือตัวเลือกใดๆให้ได้ตัดสินใจละว่าใครจะเป็นคนทำ เพราะถ้ามึงไม่ทำ มันก็ไม่มีใครแล้ว เป็นการเรียนรู้วิธีการบริหารธุรกิจที่เหนื่อยและท้อใจมาก แต่ถ้ามองกลับมาวันนี้ที่เราผ่านอะไรๆเหล่านั้นมาได้แล้ว ก็รู้สึกว่าเรารู้อะไรจากประสบการณ์ที่เจอเองมากกว่าคนอื่นอยู่ประมาณนึง ถือเป็นเรื่องที่คุ้มค่าและภูมิใจในตัวเองเล็กๆที่ผ่านมันมาได้จากจุดนั้น

แต่สิ่งที่เป็นเรื่องสอนใจมาถึงทุกวันนี้และจะเก็บไปให้คำแนะนำคนอื่นเสมอคือเรื่องทีม หุ้นส่วน และผู้ถือหุ้น ความรู้สึกมันจะกลับมาหนักทุกครั้งตอนที่เราเจอปัญหาหรือกำลังเจออะไรใหม่ๆ แล้วตัวเราเองคิดไม่ตกว่า ทำไมเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ตัวคนเดียว ทำไมตอนมีปัญหา เป็นเราที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อทำให้ธุรกิจของพวกเราอยู่รอด แล้วทำไมตอนจะมีจะกินถึงต้องแชร์ตามสัดส่วนของผู้ถือหุ้น จะด้วยเหตุผลอันใดก็แล้วแต่ บางทีเราก็เบื่อที่จะต้องคุยกับตัวเองเรื่องนี้แล้วบอกให้ตัวเองหลับตาข้างนึงแล้วมองไปข้างหน้า

เบื่อจะจินตนาการทุกความเป็นไปได้เรื่องขออ้างและเหตุผลต่างๆนาๆที่เหมือนกับเราพูดกับตัวเอง จำลองตัวเองเป็นคนอื่นแล้ว defend กันไปมา เบื่อที่ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะสุดท้ายมันไม่ได้อะไรขึ้นมา นี่เลยอาจเป็นเหตุผลที่เวลาคุยกับคนทำธุรกิจทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือสตาร์ทอัพด้วยกัน แล้วฟังเขาเล่าว่าเจอปัญหาในองค์กรอย่างนั้นอย่างนี้ โถ.. ไปเข้าใจเขาอย่างถ่องแท้เพราะเราก็เก็บไว้เหมือนกัน

anyway.. ยังไงเราก็ถูกสอนมาเสมอตั้งแต่เรียนโทมาแล้วว่าสิ่งที่ต้องทำในฐานะผู้บริหารองค์กรคือทำเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่ถูกสอนมานั้นเทียบไม่ได้เลยกับการที่เราเฝ้าบอกตัวเอง และเหล่าลูกศิษย์นักศึกษาที่ต้องทำงานกลุ่มแล้วเหลือตัวเองที่ยังทำงานอยู่คนเดียว “ใครทำ คนนั้นได้”

อยากเก่งอยากมีความสามารถก็ไขว่คว้าเอา และควรจะบอกตัวเองไว้เสมอว่าเราโชคดีแค่ไหนแล้ว ที่เผชิญกับเรื่องมากมายเหล่านี้ตั้งแต่อายุยังไม่มาก ภาระยังไม่เยอะ นี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเจออะไรพวกนี้ตอนอายุมากขึ้น หรือมีภาระมากมายกว่าตอนนี้จะต้องจัดการยังไง

บางทีคนที่โชคร้าย
ก็อาจจะเป็นคนที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั้นโชคดีขนาดไหนอยู่ก็เป็นได้

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ