เวลาไปที่ร้านหนังสือ เคยตัดสินหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งจากการอ่านชื่อบนปก หรือเปิดเพียงแค่หน้าสองหน้าเท่านั้นไหมครับ บางทีเจอหนังสือดีๆ แปลออกมาเป็นภาษาไทยและมีชื่อบนหน้าปกของหนังสือดูแปลกประหลาดไม่คุ้นชินเท่าไหร่ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อที่ตั้งบนปกหนังสือนั้นสอดคล้องกับเวลาที่คนจะหยิบซื้อไปด้วย คนเรามีอัคติกับเรื่องแต่ละเรื่องต่างกัน บางคนเจอหนังสือที่เมืองนอกขายดีแปลเป็นภาษาไทยชื่อปกทำนองว่า “รวย” ก็เริ่มตั้งคำถามในใจ เริ่มถอยห่างอาจจะเพราะกังวลเรื่องการหลอกลวงบ้าง หนังสือไม่น่าสนใจบ้าง อะไรต่างๆ นาๆ โดยมันอาจจะทำให้เราพลาดสิ่งๆบางอย่างจากหนังสือเล่มนั้นไปได้
เวลาไปสอนหนังสือ ผมมักจะบอกนักศึกษาในห้องว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนที่สอนดี อาจารย์หลายคนก็อาจไม่ใช่คนที่ถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมาได้ดี บางทีพวก GPT ทั้งหลาย หรือเพื่อนในกลุ่มอาจจะสอนต่อได้เข้าใจว่าที่ผู้สอน สอนไปก็เป็นไปได้ แต่สิ่งที่ทำให้คุ้มค่ากับการมานั่งเรียนนั่งฟังบางทีมันก็อาจจะเป็นเพียงประโยคไม่กี่ประโยค หรือคีย์บางอย่างที่เราฟังแล้วมันทำให้เรารู้สึกแตกฉานกับเรื่องบางอย่าง จนเราสามารถเอาไปคิดต่อยอดเป็นองค์ความรู้ของตัวเองต่อได้
มันเหมือนกับจุดประสงค์ของการอ่านหนังสือเลยครับ

น้องที่บริษัทเคยถามว่าอ่านไปเยอะแล้วพี่น่าจะรู้อะไรหลายอย่างหลายเรื่องจากหนังสือเล่มที่อ่านแน่เลย ส่วนหนึ่งก็ใช่ แต่ส่วนตัวแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดจากการอ่านหนังสือคือการที่เราเอาบางอย่างจากหนังสือไปต่อยอดเรียนรู้ในวิธีของเราเอง นั่นคือจุดประสงค์ของการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง มันเหมือนกับเรานั่งฟังอาจารย์บ่นบ้างพูดบ้างตลอด 2-3 ชั่วโมง แล้วเราอาจจะไม่ได้ใจความอะไรเลย แต่อาจจะเป็นแค่นาทีสองนาทีที่อาจารย์พูดเรื่องไหนสักเรื่องแล้วมันเข้าแก็ป ฟังแล้วเก็บไปต่อยอดกับสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เรามี เกิดเป็นความรู้ใหม่ที่เราสามารถเข้าถึงมันได้ง่ายในเวลาที่ต้องการ
ตอนทำบริษัทสตาร์ทอัพนี่ก็เหมือนกัน เวลาฟัง mentor หรือใครสักคนที่ประสบความสำเร็จมากๆ แล้วเราพยายามจะเอาใครสักคนเป็นแบบอย่าง พยายามเดินตามรอยเท้าใครคนนั้น แทบจะเป็นไปได้ยากมาก หนึ่งคือสถานะของเขากับเราไม่เหมือนกัน สภาพแวดล้อมทางสังคมและครอบครัวไม่เหมือนกัน อาจจะมีจุดที่เหมือนกันเชื่อมต่อกันได้น้อยมาก สิ่งที่ coach หรือ mentor หรือผู้เชี่ยวชาญใครก็ตามพยายามจะไกด์เราจึงไม่ได้เป็นเหมือนเส้นตรงที่ลากจากจุด A ที่เราอยู่ ไปยังจุด B ที่เราต้องการจะไป เพราะเวลาคุณทำอะไรของตัวเองมานาน เดินทางในเรื่องนั้นมานาน อยู่กับมันมานมนานเจอปัญหากับมันอย่างที่เขาอาจจะไม่ได้เจอนั้นทำให้สิ่งที่คุณรู้มานั้นอาจจะลึกกว่าที่คนอื่นที่กำลังพยายามชี้ทางให้คุณอยู่ก็ได้
แต่มันก็ยังมีประโยชน์มากเพราะบางอย่างที่ใครเหล่านั้นพูดขึ้นมา อาจจะไป trigger อะไรบางอย่างที่คุณอาจจะผ่านมานานมากแล้วและช่วงเวลานั้นคุณยังไม่พร้อม หรือมันอาจจะแค่ไป trigger องค์ความรู้อื่นๆที่คุณเคยเรียนรู้มาจากที่อื่นระหว่างทาง แล้วเกิดเป็นเส้นเชื่อมกันไปกันมาโดยที่การเดินทางมันไม่ได้เป็นเส้นตรง อาจจะเป็นเส้นโค้ง เส้นตัด หรืออะไรก็ว่าไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คำแนะนำหรือองค์ความรู้ที่เราได้มาแทนที่มันจะเป็นเส้นตรง มันกลับเป็น จุด (dot) หลายๆ จุดกระจัดกระจายกัน และรอวันที่ให้เราเก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ หรือรอเวลาที่ใช่ แล้วเราลากจุดต่อจุดเป็นเส้นทางรอยเท้าของเราเองมากกว่า
หนังสือจึงเปรียบเหมือนจุดๆ นึง อาจจะเป็นจุดเล็ก หรือจุดใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราซึมซับกับมันได้มากน้อยแค่ไหน บางเล่มอาจจะเป็นจุดเล็กมากที่ไม่รู้ว่าจะมีจุดนี้ทำไม บางเล่มอาจจะเป็นจุดหลายจุดที่อาจจะเชื่อมกันได้กับจุดเก่าๆที่เราเคยเก็บไว้ แต่ท้ายที่สุดแล้วถ้าเราไม่ลองหยิบขึ้นมาเปิดใจเข้าไปอ่านทำความเข้าใจเพราะกลัวเสียเวลา เราอาจจะไม่ได้จุดไหนเลยเพิ่มขึ้นมาจากการตัดสินใจอะไรสักอย่างเพียงแค่หน้าปก หรือภายนอกของมันเท่านั้น
เมื่อก่อนเราอาจจะจริงจังมากเลยกับการใช้ชีวิต อยากจะทำมันให้ดีทำมันให้ perfect โดยที่บางทีเราไม่รู้ตัวเลยว่าเดินทางมานานมาไกลขึ้นเรื่อยๆ เราก็แบกของขึ้นบ่าเป็นภาระเป็นความกดดันให้ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ การยึดติดกับเป้าหมายอย่างเดียวอาจจะทำให้เราพลาดความสุขเล็กๆน้อยๆรอบตัว จนเราอาจจะลืมไปว่าแท้จริงแล้วความหมายของชีวิตอาจจะเป็นการเดินทางที่เราตามหา ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่เราเคยฝันใฝ่
ผ่อนคลายบ้าง หัวเราะบ้าง ชีวิตไม่ได้มีเพียงความสำเร็จที่ต้องบรรลุ
เก็บไว้เตือนตัวเอง 😊