แม่แบบ

สมัยเริ่มทำงานใหม่ๆ เราอาจจะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แค่ได้งานที่น่าสนุกท้าทาย ได้เงินพอตามที่คาดหวังก็เพียงพอแล้วกับวัยสร้างตัวช่วงนั้น แต่ความสนุกความตื่นเต้นกลับไม่ได้อยู่นานเหมือนที่เราคาดหวัง ทำงานได้ไม่กี่เดือนก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ว้าวเหมือนกับวันแรกๆ ที่ได้เริ่มทำงาน

การทำงานช่วงแรกๆ เลยเป็นเหมือนกับตอนที่เรากำลังจะเลือกเข้ามหาลัย หรือเพิ่งเข้ามหาลัยใหม่ๆ มันเหมือนกับเป็นอีกช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนึงของชีวิตที่จะบอกว่าเรากำลังจะเติบโตในหน้าที่การงานไปเป็นคนแบบไหน มันอาจจะไม่ได้หล่อหลอมเราเป็นเราอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ทั้งหมด แต่ก็ต้องยอมรับไว้ไม่น้อยว่าช่วงเริ่มแรกของการทำงานค่อนข้างส่งผลต่อเราในปัจจุบัน

ช่วงที่ผมเริ่มทำงานแรกๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีคนรอบข้างที่น่ารัก เป็นพี่และเพื่อนร่วมงานที่คอยซัพพอร์ตและสอนงานอะไรหลายอย่างด้วยความใจเย็น มีคนให้โอกาสทั้งๆ ที่มองกลับไปแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้ทำตัวดีสักเท่าไหร่ และบ่อยครั้งก็เหมือนสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหาด้วยซ้ำไป

หลายครั้งที่เรานึกย้อนกลับไปแล้วนึกอยากจะขอโทษกับสิ่งที่ตัวเองเคยก่อเอาไว้ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นซึ่งอาจเกิดจากที่เราเป็นต้นตอ ทำงานได้อย่างไม่เป็นมืออาชีพแล้วต้องกระทบกับคนอื่น

การมีแม่แบบให้เรียนรู้ในช่วงเวลานี้จึงสำคัญมาก งานแรกผมมีพี่ที่ดูแลทีมเป็นคนใจเย็น รอบคอบ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้งานเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งๆที่ทีมอาจจะสร้างปัญหามากมายอยู่หลายครั้ง พี่คนนี้อาจไม่ได้เก่งหรือมีทักษะโดดเด่นอะไรมาก แต่การบริหารจัดการอารมณ์และดูแลคนในทีมกลับเป็นเสน่ห์ที่น่าเรียนรู้ ทำให้สิ่งที่เรานึกถึงทุกวันนี้เวลาที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ทำให้เราคิดมากขึ้น และตัดสินใจให้รอบคอบขึ้นเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องมาแบกความรู้สึกผิดในอนาคต

ผมมีแม่แบบคนนึงที่ใช้เรียนรู้และพยายามอยากเอาเยี่ยงอย่างอยู่หลายปี พี่เขาเป็นคนขยัน มองโลกแง่ดี แก้ไขปัญหาหนักเอาเบาสู้ เป็นคนสู้งานที่พูดน้อย ทำเยอะ แล้วยังเผื่อเวลามาสอนน้องๆ ในวันที่เราเจอแม่แบบอย่างนี้ เราก็ย่อมดีใจเป็นธรรมดา มันเหมือนกับเราล่องเรือในมหาสมุทรแล้วเจอดาวเหนือ รู้ว่าต้องเดินไปตามเส้นทางไหน แล้วก็พอจะคาดหวังผลลัพธ์ได้บ้างจากสิ่งที่แม่แบบคนนั้นเป็น

วันดีคืนดีเราเริ่มรู้สึกว่าแม่แบบของเราเริ่มแกว่ง ดาวเหนือเริ่มไม่ตรง บางวันเริ่มไม่เห็น หรือบ้างครั้งกลับทำในแบบกลับกันกับสิ่งที่เราเชื่อมั่นยึดถือ เราเริ่มสงสัย เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่ามันก็ไม่ได้ผิดอะไรที่อยู่มาวันนึงใครสักคนจะเหนื่อยหรือเปลี่ยนความคิดค่านิยมบางอย่าง

มันน่าจะตั้งคำถามกับตัวเราเองนี่แหละที่คิดว่า อะไรสักอย่างนึงจะไม่เปลี่ยนไป
หรืออะไรสักอย่างนึงจะอยู่เป็นแบบอย่างให้เราไปเรื่อยๆ ในแบบเดิมเสมอ

เวลาผ่านมา เราโตขึ้นจนเริ่มรู้ว่า บางอย่างชื่นชมได้แต่ไม่ได้อยากเอามาเป็นแบบอย่าง มันเหมือนกับที่เราเรียนรู้ประวัติของใครสักคนมาแล้วรู้สึกว่าคนนี้เก่ง คนนี้ของจริง แต่ลึกๆแล้วเราไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น คำถามถัดมาคือแล้วลึกๆ เราอยากเป็นอะไร หรืออยากเป็นแบบใคร ใครที่น่าจะเป็นแม่แบบในการดำรงชีวิตเหมือนกับเข็มทิศช่วยชี้นำทางในวันที่เราต้องการคำแนะนำ

เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราชอบเดินป่า ถ้าเรายังไม่เคยสัมผัสมัน เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราชอบชีววิทยา ถ้าไม่เคยตั้งใจศึกษามันอย่างจริงจัง เช่นเดียวกับเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราไม่ชอบเลข ไม่ชอบแคลคูลัส หรืออะไรต่างๆ นาๆ ถ้าไม่เคยได้เจอกับคนสอนที่ดี.. เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราเก่งอะไร หรือชอบอะไร ถ้าไม่เคยได้สัมผัสมัน?

แล้วเรามั่นใจได้ยังไงว่าสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ?
บางทีคนเราอาจใช้เวลามากมายไปกับการตกปลา ทั้งๆ ที่เราอาจไม่ได้ต้องการปลา

วันนี้อยากจะบันทึกเอาไว้ว่าทำธุรกิจมาสักพัก นึกว่าตัวเองจะชอบมัน นึกว่าตัวเองได้อ่านได้เรียนรู้นักธุรกิจมาหลายต่อหลายคนแล้วจะอย่างเอาเป็นแบบอย่าง.. แต่ไม่เลย ยิ่งรู้ ยิ่งรู้สึกว่าไม่ได้อยากยึดใครเป็นดาวเหนือ มีเพียงก็แต่ความเชยชมเพียงเท่านั้น

มันไม่เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ที่เรายิ่งอ่าน ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกว่าอยากเป็นแบบนั้น อยากสร้างผลงานได้แบบนั้น อยากทำอะไรสักอย่างทิ้งไว้ให้เป็นประโยชน์ต่อใครสักคนหรือหลายๆ คนมาเป็นสิบเป็นร้อยปี

หรือจริงๆแล้วเราไม่ได้ชอบธุรกิจ
แต่ยังเป็นคนที่ทำธุรกิจอยู่?

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ