หลังๆ มานี้ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องยากเหมือนกันนะที่จะมานั่งกลั่นกรองเขียนความรู้สึกของวันนี้ออกมาเป็นบทความๆ นึง มันไม่เหมือนช่วงที่เราเป็นวัยรุ่นคิดหน้าคิดหลังไม่รอบคอบ อยากจะเขียนบรรยายอะไรก็ดูลื่นดูแทบไม่ต้องคิดกรองอะไรออกมาจากความรู้สึกที่มีตอนนั้นเลย คำว่า “รอบคอบขึ้น” นี่แหละครับ ที่อาจจะทำให้สเน่ห์อะไรบางอย่างหายไป หรือไม่แน่ใจว่าเราโตขึ้นหรือเปล่า เลยเรียนรู้ที่จะไม่เก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องเข้ามาคิดให้หนักหัวอีกต่อไปแล้ว
อาจจะเป็นไปได้ว่าสมัยก่อนเราอาจจะยังบริหารจัดการอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดี มีเรื่องอะไรหนักใจช้ำใจพบเจออะไรมาก็จะเก็บค้างอยู่ในสมองในความรู้สึกตอนนั้นๆ นานหน่อย บางทีเป็นวัน บางทีเป็นอาทิตย์ การได้เขียนบรรยายสิ่งที่พบเจอเลยเปรียบเหมือนกับการได้ระบายกับตัวเอง หลายคนจะมองยังไงไม่รู้ แต่ผมรู้สึกว่าเหมือนได้ตกตะกอนเรื่องที่อยู่ในหัวตอนนั้นออกมาแล้ว และมันทำให้เราสบายใจขึ้นอย่างแปลกๆ เหมือนกัน
พอโตขึ้น ก็ลองไล่ย้อนอ่านบทความเก่าๆ หลายครั้งรู้สึกว่าเราเขียนถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่มันคงเป็นช่วงเวลานึงที่ตอนนั้นเราหาทางออกจากเขาวงกตในหัวตัวเองไม่ได้ การเขียนเลยเป็นเหมือนยืนอยู่เฉยๆ แทนที่จะเที่ยวเดินดุ่มคลำทางไปทั่ว แต่มันไม่ใช่แค่การยืนอยู่เฉยๆ หรอก มันเป็นเหมือนเรากำลังวาดแผนที่ในหัวอยู่ว่าทางไหนที่เราเคยไปแล้ว และทางไหนที่คิดว่าควรจะต้องไป การเขียนระบายจึงเป็นเหมือนช่องทางที่ทำให้เราหลุดพ้นจากเรื่องที่กำลังคิดนั้นอยู่ได้
แต่เหมือนมาวันนี้กลับไม่ใช่
เหมือนเราเรียนรู้ว่าเวลาที่เสียไป หรืออะไรที่เพิ่งผ่านไป ก็คือเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว จะเป็นสิ่งที่พูดเมื่อ 5 นาทีที่แล้ว เรื่องที่ทำเมื่อเช้า หรืออะไรก็ตามแต่นั้นล้วนผ่านไปแล้ว เหมือนกับเราบอกตัวเองให้ช่างมันเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้ เอาเวลาไปคิดไปทำไปโฟกัสกับเรื่องอะไรก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้นดีกว่า การบริหารจัดการเวลาเป็นเรื่องที่ทำให้เราคิดถึงตัวเองน้อยลง แต่ก็ใช่ว่าเรื่องบางเรื่องจะหายไป
เรื่องที่เราไม่ได้คิดถึงมัน ไม่ได้พูดถึงมัน
มันก็ยังอยู่เหมือนเดิมปกติ แต่แค่เราไม่ได้ให้น้ำหนักกับมันในเวลานี้เพียงเท่านั้น
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคิดถึงเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ แค่รับรู้ก็คงเพียงพอว่าเราพลาดอะไรไป แล้วจะไม่ให้เกิดขึ้นเหมือนเดิมได้ยังไงควรเป็นประโยชน์มากกว่า บางทีก็คิดว่าเราเลยจุดที่จะต้องมานั่งเสียใจ บ่นพึมพัมกับตัวเองว่า “ทำไม ทำไม” แล้ว ผมว่าจริงๆ ความเสียใจไม่เคยหายไปไหนเลยนะ แค่เรายังไม่มีเวลามาใส่ใจกับช่วงเวลาเหล่านั้นมากกว่า
บางทีถ้าเราว่างพอจากเรื่องต่างๆ เราอาจจะนึกย้อนกลับมาเสียใจทีหลังก็ได้ แต่วันนั้นมันคงนานแล้วเลือนไปแล้วว่าความรู้สึกที่เราเพิ่งเสียใจใหม่ๆ มันเป็นยังไง มันคงช่วยให้เราเป็นทุกข์น้อยลงจากการลืมก็เป็นไปได้
อย่างว่าครับ ผมคิดว่าไม่มีอะไรทำร้ายเราเท่ากับเสียงของเราเองที่อยู่ในตัวเราเอง มนุษย์นั้นเหมือนกับฟองน้ำ อาจจะซึมซับสิ่งที่อยู่รอบข้าง เสียงรอบข้าง หรือบางทีตีความไปมากมายจนตัวเราอิ่มน้ำจนต้องเลือกว่าจะบิดทุกอย่างออกมาเพื่อซึมซับสิ่งใหม่ๆ หรือจะอัดแน่นไปด้วยมวลน้ำจนทำให้ตัวเองหนักอึ้งจากเรื่องภายนอก
ถ้าเรามองด้านดีว่าสิ่งที่เราทำพลาดจะได้ทำให้เราได้เรียนรู้ ให้เราได้พยายามต่อไปข้างหน้า ให้เราได้เตรียมตัวฝึกใจไม่ยอมแพ้ มันอาจจะเป็นความพยายามที่มีความหมายในภายภาคหน้าก็ได้
หลายครั้งก็คิดว่าตัวเองผ่อนผันปัญหาต่างๆ ไปเป็นวันข้างหน้าหรือเปล่า แต่หลายครั้งก็รู้สึกดีเพราะจะได้คิดถึงเรื่องที่ต้องแก้ไขวันนี้ตอนนี้ แบ่งปัญหาที่ยังไม่มาถึงออกไปคิดวันอื่นๆ เหมือนกับตัวเองพยายามแก้ไขปัญหาในแต่ละวัน แล้วเลือกปัญหาที่สำคัญในเวลานั้นมาแก้แทนที่จะแก้ไขหรือนึกถึงมันทุกเรื่อง
บางทีตัวเลือกที่เรามีทั้งหมดในตอนนี้อาจเป็นตัวเลือกที่แย่หมด.. แต่จะทำยังไงให้เรายังตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่แย่น้อยที่สุดได้ อันนี้น่าคิดกว่า