สัดส่วนที่ใหญ่สุดของชีวิต

เมื่อสักประมาณ 3 ปีที่แล้ว ผมต้องไป meeting ที่สตาร์บัค เดอะสตรีท ตอน 7 โมงเช้าวันอาทิตย์ทุกๆ 2 สัปดาห์ และทุกครั้งที่ meeting กลับมาก็จะรู้สึกเหนื่อย รู้สึกล้า บางครั้งมีรู้สึกหมดกำลังใจ จนทำให้ตัวเองเกลียดวันอาทิตย์ที่ต้อง meeting นั้นพอสมควร รู้สึกว่าทำไมต้องมาทำให้ตัวเองรู้สึกหม่นหมองในวันอาทิตย์ตั้งแต่ตอนเช้า ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นวันพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่น่ารื่นรมย์

ก็ทนไปได้เรื่อยๆ แต่ละครั้งที่ผ่าน meeting นั้นไป ก็จะเอา feedback ที่ได้กลับไปแก้ไข ทำสิ่งที่เราทำอยู่ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อหวังว่าอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้าเราจะไม่โดนว่าหรือบอกกล่าวเรื่องนั้นให้หม่นหมองใจอีก แต่ก็จะเจอเรื่องใหม่ๆ ให้ปรับให้แก้ไขทุกที

เป็นอย่างนี้อยู่ 1 ปี ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองว่าก้าวหน้า เริ่มคิดเป็นระบบ เริ่มทำงานทำการแบบเข้ารูปเข้ารอย เริ่มไตร่ตรองทุกอย่างที่เข้ามาเป็นระเบียบ เริ่มได้รับ feedback ที่ดีจากการ meeting แทนที่จะเป็นการติหรือว่ากล่าว เริ่มเห็น feedback จากลูกค้า จากองค์กร หรือจากหน่วยงานอื่นๆ

จนนี่ก็ผ่านมา 3 ปีแล้ว.. meeting เช้าวันอาทิตย์ที่เดิมเวลาเดิมก็คงยังมีอยู่บ้าง แต่จะเว้นออกมาเป็นเดือนละครั้ง หรือสองเดือนครั้ง ซึ่งทุก meeting ก็จะมีคนเดิมๆ เครื่องดื่มเดิมๆ คุยเรื่องเดิมคืองานที่ทำอยู่ทุกวัน

ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆ ที่มีอาจารย์ที่ปรึกษา 2 ท่านคอยให้คำปรึกษา ชี้แนะ รวมไปถึงการให้ความเห็นในการตัดสินใจเรื่องสำคัญหลายเรื่องกับงานการที่ทำ (อาจจะรวมไปถึงเรื่องวิธีคิดเรื่องการใช้ชีวิตบางอย่างด้วย) อาจารย์ยังมาทุก meeting เหมือนเดิมตลอด 3 ปี และไม่เคยเรียกร้องอะไรคืนสำหรับการช่วยเหลือเลยสักครั้ง

ลองคิดดูว่า ตลอด 3 ปีที่มีใครช่วยแนะแนวเรามาตลอด ต้องเจียดเวลาวันครอบครัวประมาณ 2-3 ชั่วโมงในตอนเช้าตรู่ เดินทางจากบ้านออกมากลางเมืองเพื่อคุยแนะนำเรื่องของคนอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง โดยไม่ได้ค่าตอบแทน หรือของอะไรกลับไปเลย

เราคิดว่าเราเองคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองมาได้ขนาดนี้ โตขึ้นขนาดนี้ ตัดสินใจอะไรด้วยวิจารณญาณความเป็นเหตุและผลมากขนาดนี้ถ้าไม่ได้การอบรมแนะนำจากที่ปรึกษาทั้ง 2 ท่านตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จะให้ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีได้ยังไง

เริ่มสนุก และอยากมา meeting

เรากลับอยากมาแชร์ เราอยากมา meeting เพราะได้ความรู้ เราอยากมาคุยกับผู้ใหญ่เพื่อขอความคิดเห็นในเรื่องที่บางครั้งคนรอบตัววัยเดียวกันไม่สามารถคุยด้วยได้ เริ่มดีดตัวออกจากสังคมที่เราเคยมีไปเรื่อยๆ เริ่มเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต เริ่มลงทุนกับสุขภาพ ความก้าวหน้าในการทำงาน เริ่มลดความเสี่ยง

และที่สำคัญที่สุดที่อยากมา คือมีคนใส่ใจให้ความรู้ ให้คำแนะนำกับ portion ที่ใหญ่ที่สุดของชีวิตของเรานั่นคือ หน้าที่การงาน .. มันไม่เหมือนกับเวลาเราถามใครคนอื่นว่า คิดว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิตตอนนี้ แล้วเขาตอบมาว่า งาน แต่การกระทำมันไม่ได้สะท้อนกับสิ่งที่พูดเลย มันเหมือนเราคุยกับคนที่หลง หรือพยายามจะเป็นโดยที่ลึกๆ ไม่อยากเป็น มันทำให้เราไม่ได้อะไร เหมือนอยู่คนละเกม เหมือนภาพปลายทางมันอยู่คนละที่

สันโดษ

เมื่อก่อนเราก็คงพอมีกลุ่มเพื่อนที่ไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ เจอกันก็คุยเรื่องงาน แต่ไม่ใช่เป้าหมายในการทำงาน เป็นเรื่องจิปาถะในเรื่องงาน เป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องในหน้าที่การงาน พูดถึงเรื่องคนนั้นเรื่องคนนี้ เจ้านายแบบนั้น ลูกน้องแบบนี้ รู้สึกไม่ได้อะไรสักอย่าง เหมือนไปนั่งเป็นถังขยะอารมณ์

เดี๋ยวนี้ก็ออกห่าง เพราะเริ่มรู้สึกว่าเราไม่ได้เล่นเกมเดียวกันอีกแล้ว เราไม่ได้อยากฟังอยากคุยเรื่องจิปาถะพวกนั้น เราอยากฟังอยากคุยกับคนที่เจออะไรแบบเรา ตกอยู่ในสถานการณ์เชิงเดียวกันกับเราเพื่อที่จะแชร์ความคิดความเห็น หรือเป็นกำลังใจว่ามีคนที่พบเจอปัญหาแบบเดียวกัน ให้รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว และช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าได้

เวลาเป็นสิ่งเดียวที่เราไม่สามารถมีเพิ่มได้

แล้วทำไมเราถึงต้องไปเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับ portion ที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเรื่องสำคัญของเรา ทำไมต้องไปเสียเวลากับคนที่ไม่เห็นค่า ไม่จริงจัง หรือล้อเล่นกับ portion ที่ใหญ่ที่สุดที่เราเห็นว่าสำคัญ อาจจะฟังดูเหมือนไม่มีความเห็นอกเห็นใจ

แต่กลับกัน ลองจินตนาการว่าถ้าเราให้ครอบครัวเป็น portion ที่ใหญ่ที่สุดของเรา เราก็คงไม่ใช้เวลากับคนที่มาล้อเล่นหรือทำอะไรไม่เห็นค่าแบบนั้นเหมือนกัน .. ต่างคนต่างเคารพสิ่งสำคัญของกันและกันนั่นล่ะดีแล้ว

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ