ไม่โอเค แต่งานยังไปต่อได้

สมัยวัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ เรายังแยกแยะไม่ออกระหว่างความรู้สึกส่วนตัวกับหน้าที่การงาน บ่อยครั้งที่เรารู้สึกไม่โอเคเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องอะไรอื่นๆมา เรามักจะไม่สามารถทำงานได้ หรือจิตใจไม่ได้อยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทำให้งานไม่มีคุณภาพ หรือไม่สามารถทำงานได้เลยในบางครั้ง

performance ของงานมันไม่ได้ เพราะแรงจูงใจในการทำมันไม่มี

วันเวลาผ่านไป พอเรานึกย้อนไปถึงเรื่องปัญหาในวันเก่าๆสมัยเรายังเป็นวัยรุ่นนั้น เราก็รู้สึกว่าปัญหามันเล็กน้อยมาก มันแทบจะจุกจิกเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าเราจะเก็บเรื่องไร้สาระพวกนั้นมาคิดทำไม หรือทำไมเราเองก้าวผ่านเรื่องพวกนั้นมาอย่างล้มลุกคลุกคลานเหลือเกิน

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปและสอนเราด้วยในเวลาเดียวกันคือสภาพจิตใจ วันนี้ที่เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น หรืออาจจะไม่ได้โตอะไรขึ้นหรอก แค่ผ่านประสบการณ์อะไรมาเยอะจนเรื่องที่เล็กกว่าไม่ได้กระทบความรู้สึกเราอะไรขนาดนั้น เรากลับสามารถทำงานต่อได้ในสภาวะจิตใจที่ย่ำแย่ อะไรที่ทำให้เราสามารถแยกเรื่องความรู้สึกส่วนตัวกับคุณภาพของงานได้ อะไรที่คอยบอกให้เรามองไปข้างหน้า ทำงานตามหน้าที่ แล้วค่อยมานึกถึงปัญหาของตัวเองทีหลังในช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับตัวเอง

มันคือความรักในงานที่ทำหรอ?

แล้วมันมีพลังมากพอที่จะทำให้เราตั้งความหวังถึงโอกาสข้างหน้า ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปเพื่อให้อะไรๆยังเดินต่อไปได้หรือเปล่า คือเราไม่ได้ลืมว่าปัญหามันคืออะไรอยู่ตรงไหน เราไม่ได้ละเลยสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาแล้วและเลิกคิดถึงวิธีแก้ไข เราแค่จวนตัวเหมือนหลังชนฝาแล้วทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อพยุงสถานการณ์ให้อยู่รอดไปอีกเดือน อีกสัปดาห์ หรืออีกวัน และหวังว่าสิ่งที่เราพยายามแก้ไขเปลี่ยนแปลงทุกวันนี้มันจะช่วยอะไรได้บ้างในอนาคต.. บางทีมันน่าแปลกที่สภาพจิตใจเราย่ำแย่ แต่คุณภาพงานไม่ได้ตกต่ำลงไปด้วย

หรือจริงๆ สิ่งที่คอยค้ำจุนเรื่องพวกนี้มันคือมาตรฐาน?

มาตรฐานที่เราพยายามนักพยายามหนาในการสร้างมันขึ้นมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มันคือสิ่งที่เราพยายามบอกตัวเองเสมอว่าอะไรที่รับได้ หรืออะไรที่รับไม่ได้ ก็เหมือนกับความถูกต้อง ถ้าเรายึดความถูกต้องเป็นมาตรฐานแล้ว ไม่ว่าเราในวันที่ดีหรือวันที่แย่ สิ่งที่เราจะทำหรือตัดสินใจมันก็จะเป็นความถูกต้องเสมอ เพราะมันคือมาตรฐาน.. ก็คงไม่ต่างอะไรกับคุณภาพของงาน ซึ่งก็คือมาตรฐานของงานที่เราพยายามสร้างขึ้นมา

ปัญหามันก็คือปัญหา พอมันเข้ามาก็แค่แก้ไข

มันอาจจะเป็นปัญหาที่ยาก มันอาจจะเป็นปัญหาที่จะอยู่กับเราไปอีกนานหลายเดือน หรือหลายปี แต่ท้ายที่สุดเราจะอยู่กับปัญหานั้นได้เอง โดยไม่รู้ว่าเราเข้าใจยอมรับมันหรือแค่ชินกับมัน แต่สิ่งที่คงทำให้เราเรียนรู้ได้แน่ๆคือ เราคงไม่ได้รู้สึกแย่เหมือนกับตอนแรกที่เจอหรือประสบมันอีกแล้ว หรือถ้าเราเรียนรู้ได้ดีพอ เราคงไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีกแน่ๆ เพราะมันทำให้เราเจ็บปวด

บางอย่างไม่ต้องอธิบาย รอให้มันถึงเวลาของมัน

ช่วงที่โควิดมาใหม่ๆปีสองปีแรก เจอพวกพี่ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร หรือคนที่ได้รับผลกระทบจนทำให้กิจการต้องปิดตัว หรือหยุดดำเนินการแล้วต้องมีเลิกจ้าง ฟังแล้วก็ได้แต่บอกว่าเอาใจช่วย ปลอบประโลมว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป หรือก็แค่ได้แต่ให้กำลังใจไปเท่านั้น ก็ไม่ได้รู้สึกเข้าถึงสิ่งที่เป็นอยู่อะไรมากขนาดนั้น

แต่พอมาเจอด้วยตัวเอง ความรู้สึกเป็นอีกอย่างไปเลย เหมือนรู้สึกผิดที่ต้องตัดสินใจ เหมือนทำร้ายคนอื่น แต่ก็ไม่มีทางเลือกอะไรที่ดีกว่านี้ รู้สึกเกลียดการตัดสินใจของตัวเองที่ผิดพลาดในวันก่อน บางทีก็รู้สึกโมโหว่าทำไมเราไม่เตรียมตัวให้พร้อม ทำไมเราควรจะทำได้ดีกว่านี้แต่ก็ไม่ได้ทำ

แต่เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็คือผ่านไปแล้ว คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมานั่งนึกเสียดายแล้วทำให้เวลาที่มีอยู่น้อยนิดในปัจจุบันนั้นหมดลงไปอย่างไม่มีคุณค่า บางทีสิ่งที่เราต้องการกับความถูกต้องอาจเป็นคนละเรื่องกัน แต่สิ่งที่ถูกต้องก็คือถูกต้องไง มันก็คงเป็นเหมือนมาตรฐานที่เราพยายามรักษาไว้ และให้เก็บเอาออกมาใช้ตอนวันที่เรารู้สึกหลงหรือผิดหวัง

เราแฟร์และทำทุกอย่างถูกต้องก่อนไหม ถ้าใช่ก็ถือว่าค่อยๆตัดปัญหาไปทีละเรื่อง
เดี๋ยวมันก็คงดีขึ้นแล้วผ่านไปเอง

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ