สิ่งที่ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไม่เคยบอก

เพราะมันอาจเป็นเรื่องส่วนตัว ที่เล่าไปก็รู้ว่าใครช่วยแก้ไขปัญหาไม่ได้

บริษัทสตาร์ทอัพผมได้เงินลงทุนและมีผู้ถือหุ้นภายนอกจริงจังเมื่อต้นปีนี้ แน่นอนว่าทำบริษัทแล้วมีนักลงทุนภายนอกสนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจที่เราสร้างขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการหลายคนใฝ่ฝัน และเราเองที่ย่อมดีใจเมื่อมีคนที่เห็นค่าในธุรกิจที่เราสร้างขึ้น แต่ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ไม่เห็นภาพอีกมุมหนึ่ง และก็ไม่ค่อยเห็นใครมาเล่ากันเสียเท่าไหร่ คือความรู้สึกและการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ได้รับเงินลงทุนแล้ว

บทความนี้เลยอยากจะให้เห็นภาพอีกมุมนึงที่นอกเหนือไปจากความดีใจเมื่อบริษัทสตาร์ทอัพของเราได้รับเงินทุน และสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ที่มาพร้อมกับเงิน

ภาพที่ใครหลายคนคิดกันก็อาจจะเป็นผู้ก่อตั้งล้วนมีความสุขเพิ่มขึ้นมาก มีเงินเข้ามาหมุนเวียนภายในกิจการ ชีวิตความเป็นอยู่ล้วนน่าจะดีขึ้น หรือสามารถใช้เงินกับสิ่งที่ไม่เคยมีหรือไม่มีโอกาสให้ได้ใช้ หรือบางคนอาจจะคิดไปถึงเรื่องโชค โอกาส กล่าวกันอยู่เสมอๆ ว่าโชคดีจัง อยากมีโอกาสที่จะโชคดีแบบนี้บ้าง

ใช่ครับ ผมเป็นคนนึงที่คิดแบบนั้น แต่ความเป็นจริงก็อาจจะเป็นแค่แสงสะท้อนด้านหนึ่งของแท่งแก้วปริซึมเท่านั้น สิ่งแรกที่ผมอยากจะเขียนถึงคือ สิ่งที่มาพร้อมกับเงินทุน นั่นก็คือ “ความคาดหวัง” และสิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่ใหญ่ อาจจะเป็นปัญหาค้ำคอเราอยู่ในอนาคตซึ่งเราอาจจะรู้สึกตัวช้า หรือเร็ว หรือไม่รู้สึกถึงมันเลยก็ได้ แต่ที่แน่ๆมันจะกลับมาเป็นส่วนที่สำคัญและผลักดันเราให้ทำอะไรบางอย่าง ซึ่งอะไรบางอย่างที่ว่านี้ก็อาจจะทำให้เราเก่งขึ้น ขยันขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น หรือเป็นสิ่งที่จะทำให้เราทนทุกข์ได้ในเวลาเดียวกัน

บริหารความคาดหวัง

ลองจินตนาการถึงตอนที่เราเป็นนักลงทุนดูนะครับ ถ้าใครที่นึกภาพไม่ออก ใกล้ตัวที่สุดก็คือลงทุนในตลาดหุ้นก็ได้ เราใส่เงินลงไปในพอร์ตแล้วก็สรรหาเลือกหุ้นที่มีอยู่ในตลาดเป็นร้อยๆตัว โดยคัดมาแล้วพร้อมที่จะลงทุนในหุ้นตัวนึง สิ่งที่เราลงไปก็คือเงินใช่ไหมครับ และเราเองก็คาดหวังว่าหุ้นที่ลงไปมันจะเติบโตขึ้น พูดจาประสาชาวบ้านก็คือทำให้เรารวยขึ้นเมื่อต้องการขาย

นี่คือความคาดหวังพื้นฐานตามหลักเศรษฐศาสตร์ และเราเองในฐานะนักลงทุนก็ต้องการแบบนั้น ย้อนกลับด้วยหลักการเดียวกันคือไม่ต่างอะไรกับนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในบริษัทของเรา และต้องการเห็นบริษัทเติบโตขึ้น เพื่อให้มูลค่าหุ้นที่ลงไปในวันวานสามารถเพิ่มขึ้น และทำให้เรามั่งคั่งขึ้นได้ในอนาคต

ถ้าเราลงเงินในหุ้นที่เติบโตได้ดี ราคาขึ้นทุกไตรมาส หรือทุกปี เราก็จะร่ำรวยขึ้นนั่นเป็นสิ่งที่เราต้องการ แต่ถ้าเราลงเงินในหุ้นที่ไม่เติบโต ราคาลงหรือไม่เปลี่ยนแปลงเลย เราก็จะลุ้นเปิดแอปสตรีมมิ่งอยู่บ่อยครั้งแล้วดูว่าเมื่อไหร่มันจะเติบโตหรือราคาสูงขึ้น นี่ยังไม่รวมตัวแปรอื่นๆ เช่นจำนวนผู้ถือหุ้น ความใกล้ชิดระหว่างผู้ลงทุนกับบริษัท และพันธสัญญาต่างๆที่ว่ากันตามกฏหมาย ทำให้เวลาการลงทุนในบริษัทเล็กๆมักจะมีความคาดหวังที่สูง และกฏเกณฑ์บางอย่างที่เข้มงวด

ความคาดหวังอาจจะเป็นได้ทั้งเรื่องที่ดี และเรื่องที่อันตรายในระยะยาว ลองนึกถึงความคาดหวังที่พ่อแม่มีกับลูก อยากจะให้เรียนสูงๆ เรียนเป็นอาชีพในแบบที่ตัวเองต้องการ ความคาดหวังว่าเกรดจะดีกว่าลูกของเพื่อนระแวกบ้าน ความคาดหวังที่จะให้ลูกเข้าเรียนครบ คบหาเพื่อนที่ดีไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ ผมเชื่อว่าใครหลายคนที่เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ก็เคยพบเจอความคาดหวังในวันก่อนๆ

ความคาดหวังอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญให้เรามุ่งมั่นอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องมากขึ้น เป็นตัวกระตุ้นให้เราพยายามไขว่คว้าหาเป้าหมาย เป็นสิ่งที่คอยค้ำจุนให้บริษัทสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้โดยมีภาระผู้พันธ์ที่ต้องรับผิดชอบอยู่ภายหลัง และในทางเดียวกันความคาดหวังนี้ก็อาจจะบั่นทอน หรือเปลี่ยนเด็กให้กลายเป็นคนที่ไม่มั่นใจ จิตใจอ่อนแอ ส่งผลเสียระยะยาวได้ไม่ต่างกัน

ถ้าถามผม ความรู้สึกของผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่ได้รับเงินลงทุนนี่ไม่สนุกเลยครับ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรากระวนกระวาย อาจจะต้องแลกต้องสูญเสียอะไรบางอย่างโดยที่ผู้คนข้างนอกที่มองเข้ามาไม่ได้รับรู้อะไรด้วยเลยและก็ยังคิดว่าเราปกติอยู่ดี แต่ในอีกมุมนึงเราเองก็ได้พัฒนาได้พยายามก้าวข้ามความรู้สึกต่างๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองจากเด็กเมื่อวานซืนให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบได้ในเวลาเดียวกัน

สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยของตัวเราคืองานยังคงเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตประจำวัน เรายังคงอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมและพันธนาการผูกแน่นไม่ต่างอะไรกับเมื่อก่อน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปและคงไม่ย้อนกลับมาคือเวลา และช่วงอายุที่มากขึ้นในทุกๆวัน

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ