เรายังกังวลเรื่องเลียนแบบไอเดียกันอยู่อีกหรือเปล่า?

To me, Ideas are worth nothing unless executed. They are just a multiplier. Execution is worth millions.
– Steve Jobs

ครั้งนึงนานมาแล้วสตีฟ จ๊อบส์เคยกล่าวเอาไว้ประมาณว่าไอเดียนั้นไม่มีค่าอะไรถ้าปราศจากการลงมือทำ นอกจากนั้นเรายังเคยได้ยินหรือเห็นผ่านสื่อกันมาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับหนังประเภทสงครามว่าหากปราศจากหัว ตัวก็อยู่ไม่ได้ เวลาทำการรบในสมัยก่อนของจีน (ซึ่งจะเห็นพบได้บ่อยมากในหนัง) หากฆ่าแม่ทัพได้ ทัพและขวัญกำลังใจของทหารก็แตกกระเจิง

เรายังกลัวการลอกไอเดียกันอยู่อีกหรือเปล่าครับ

เรายังคงกลัวไม่กล้าอธิบายหรือบอกไอเดียเราให้ใครคนอื่นฟัง เพราะกลัวว่าเขาจะเอาไปทำก่อนและฉวยโอกาสที่เราควรจะได้ไป แล้วทำไมถ้าเราคิดว่าไอเดียนั้นดีจริง เราไม่เริ่มทำมันอย่างจริงจังเสียที ทำไมเรายังคงกล้าๆกลัวๆที่จะเริ่ม จะบอกคนอื่นก็กลัว จะเริ่มก็ไม่กล้า สรุปแล้วเรากลัวไอเดียโดนลอก หรือเราไม่กล้าที่จะทำสิ่งใหม่นั้นกันแน่

คนที่เริ่มธุรกิจใหม่แต่แรก หรือกลุ่มสตาร์ทอัพ มักจะเจอกับปัญหานี้

ถ้าเรามั่นใจว่าไอเดียของเราพอมีดี แล้วทำไมเราถึงไม่เริ่มทำอะไรสักอย่างให้ดูเป็นรูปเป็นร่าง หรือยังไม่กล้าเข้าสู่ตลาดเพื่อทดสอบไอเดียนั้น หรือแท้จริงแล้วเราเองก็ยังไม่แน่ใจกับไอเดียที่เราคิดนั้นด้วยเหมือนกัน

มีผู้ใหญ่หลายท่านสอนว่าเดี๋ยวนี้ไม่ต้องกังวลไปหรอกเรื่องบอกไอเดียคนอื่น แล้วคนอื่นเอาไปทำ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าใจหรืออินเหมือนกับที่เราลงทุนลงแรงหาข้อมูลวิจัยค้นคว้าตลาดอยู่กับมันจนชิน

ถึงแม้เอาไอเดียไปบอกกับผู้ที่มีเงินทุนพร้อม ส่วนมากก็คงสั่งให้ทีมทำตามที่ใครสักคนคิด พนักงานก็เขียนโปรแกรมไปตามใบสั่งอาจจะไม่ได้มีใจเหมือนคนที่มีความคิดความฝันสร้างไอเดียนั้นจากภาพเล็กเพื่อให้ไปถึงภาพใหญ่ในตอนท้าย

และทิ้งท้ายว่า.. แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจ

ถ้าไอเดียเป็นสิ่งที่ยังไม่มีค่า และคนอื่นก็มีความสนใจต่างไปจากเรา เรายังคงหวงไอเดียนั้นอยู่ไหม กลัวที่จะบอกคนอื่นทำให้เสียโอกาสเข้าถึงเงินทุน, คนเก่งๆ หรือรวมไปถึงที่ปรึกษาในอนาคตอยู่หรือเปล่า

ยิ่งเริ่มช้าเท่าไหร่ คนอื่นก็มีโอกาสทำก่อนมากขึ้นเท่านั้น สู้เชื่อมั่นในไอเดียตัวเอง ขวนขวายหาข้อมูลฝังตัวเองอยู่ในเรื่องๆนั้น พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เราก็ยิ่งมีความคืบหน้ามากขึ้น ซึ่งความคืบหน้านี้เองที่จะเป็นตัวช่วยนึงที่จะกันคู่แข่งได้หลายช่วงตัวกว่าจะมาถึงจุดที่เราอยู่

ลองนึกภาพหากเราจะทำระบบหาและจองโรงแรม หรือรถเช่า หรือเป็น Online Travel Agency (OTA) ขึ้นมาใหม่สักแพลตฟอร์ม คิดดูว่าเราจะต้องเจอกับใครบ้างที่อยู่ในตลาด ก็คงไม่พ้น Booking, Agoda, Expedia ฯลฯ แล้วอะไรที่ทำให้เราคิดว่าเราสู้คนที่มาก่อนได้ อะไรที่ทำให้เราคิดว่าผู้ใช้จะเปลี่ยนจากแพลตฟอร์มเหล่านั้นมาใช้ของเรา

แค่คิดจะทำแข่งก็คงเหนื่อย นั่นเป็นเพราะเขาเริ่มกันมานานเป็นสิบปี มีข้อมูลมหาศาล คู่ค้าเป็นหมื่นเป็นแสนเจ้า คิดจะแข่งก็คงพับไอเดียกลับไปตั้งแต่แรกแล้ว.. ถ้าไอเดียยังคงเป็นสิ่งไม่มีค่า แล้วเราจะต้องรออะไร กังวลที่จะเสียอะไรกับสิ่งที่ไม่มีค่านั้น

ตั้งต้นไอเดียใหม่

บ่อยครั้งที่ไอเดียใหม่อาจฟังดูเพ้อฝันและเป็นไปไม่ได้ บางทีเราอาจจะเกลียดตัวเองที่กลายเป็นนักขายฝันที่ยังไม่มีอะไรให้จับต้องได้เลย เราจะรู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกไม่มีใครที่สามารถพูดคุยหรือแชร์ความคิดด้วยกัน หรือรู้สึกว่ากำลังพบเจอปัญหาต่างๆมากมายอยู่คนเดียวเมื่อเริ่มไอเดียนั้นขึ้นมา

น้อยคนที่อยากจะมาร่วมด้วยในวันที่เรายังใหม่และไม่มีอะไร คนส่วนมากก็อยากจะร่วมทำงานกับบริษัทหรือไอเดียที่ประสบความสำเร็จแล้ว ดูมีความมั่นคงในหน้าที่การงาน ดูสนุกน่าร่วมงาน ได้บอกว่าตัวเองทำงานกับบริษัทสมัยใหม่ที่มีไอเดียแบบใหม่นี้ โดยที่ส่วนใหญ่ไม่ได้รู้เลยว่าก่อนจะมาถึงทุกวันนี้ ผู้ก่อตั้งเริ่มไอเดียตั้งแต่แรกจากศูนย์ต้องพบเจออะไรบ้าง ต้องแลกเหงื่อแลกเลือดมีความรู้สึกอะไรที่แตกสลายไปบ้างกว่าจะมาถึงจุดนี้

มีคนอีกมากที่ so proud กับป้ายห้อยคอแสดงชื่อตัวเองคู่กับบริษัทยักษ์ใหญ่ เที่ยวบอกคนนั้นคนนี้ว่าตัวเองเจ๋งแค่ไหนที่ได้ร่วมงานกับบริษัทดีมีอนาคต แต่ก็ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองเป็นคนที่เข้ามาในช่วงที่บริษัทเติบโตแล้ว มีทุกอย่างแทบพร้อมแล้ว ไม่เหมือนคนที่เอาตัวเองไปคลุกอยู่กับดิน ดิ้นรนทุกอย่างเพื่อสร้างอะไรของตัวเองให้เติบใหญ่ไปพร้อมกันในวันหน้า

แค่จุดเริ่มต้นก็ต่างกันแล้ว แล้วเรายังจะกลัว หรือกังวลกับเสียงคนอื่นที่ต่อว่าไอเดียเราทำไม.. มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปเถียงกับคนที่ชี้หน้าต่อว่าเรา ว่าสิ่งที่เราทำมันผิด นอกจากเราจะพิสูจน์มัน

เริ่มลงมือทำเถอะครับ

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ