ไปสรรพากรบ่อยไปมั้ย?

จากแค่ต้นปี ถึงประมาณปลายเดือน 3 ปีนี้ผมแวะไปสรรพากรมาร่วมๆ เกือบ 10 ครั้งเห็นจะได้

คือผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องมีเรื่องให้แวะเวียนไปบ่อยขนาดนั้น จุดเริ่มต้นมันอยู่ที่เมื่อช่วงประมาณต้นปี ผมได้รับหมายเรียกจากสรรพากรให้ไปพบเพื่อแสดงหลักฐานเอกสารของบริษัท ซึ่งมันก็เป็นหลักฐานซื้อขายอย่างพวกใบสั่งซื้อ ใบเสร็จ และใบหัก​ ณ ที่จ่ายทั่วไป แต่ประเด็นคือว่าหลักฐานที่ให้นำไปสำแดงนั้นเป็นของปี 2016 ซึ่งมันข้ามมาแล้วปีนึงเต็มๆ

ครั้นวันนัด ผมไปผิดที่ นึกว่าให้ไปพบที่เขตที่ไปจ่ายภงดอยู่เป็นประจำ เลยกะโทรไปตามเบอร์ที่ให้ไว้ในหมายเรียกว่าจะขอเข้าไปช้านิดนึงเพราะต้องเดินทางจากสาขาเขต ไปจังหวัด ซึ่งก็ห่างกันพอสมควร พอโทรไปเท่านั้นแหละ ได้ความว่าข้างในยังไม่มีคนทำเคสนี้ ให้มาใหม่ภายหลัง หรือจะมีเจ้าหน้าที่โทรไปแจ้งอีกครั้งหนึ่งว่าให้มาพบอีกทีเมื่อไหร่

ก็เลยสงสัยว่า อ้าว แล้วทำไมไม่โทรมาแจ้งก่อนล่วงหน้า คือถ้าไม่โทรไปกะบอกว่าจะเข้าไปพบช้าหน่อยนี่คืออาจจะไปเสียเที่ยวเลยก็ว่าได้ ก็ไม่เป็นไร ไหนๆ เอกสารก็เตรียมไว้แล้ว เรียกวันหลังจะได้ไม่ต้องเตรียมอะไรให้เสียเวลาอีก พอเวลาผ่านไปประมาณ 3 อาทิตย์ ก็ได้โทรศัพท์จากสรรพากรใหม่ แจ้งว่าทำไมยังไม่เข้ามาพบ ก็เลยต้องเล่าเรื่องที่เจอเมื่อ 3 อาทิตย์ก่อนให้เขาฟัง เลยเสร็จสรรพได้วันเวลาที่แน่นอนเอาเอกสารเข้าไปยื่น ก็ไปตามนัด

เผอิญว่ายอดของปี 2016 เป็นปีที่ได้คืนภาษีของบริษัท แต่พอเอาเอกสารทั้งหมดไปยื่นก็ฟังได้ความประมาณว่า มีลูกค้าเจ้านึงของบริษัทเองที่หัก ณ ที่จ่ายไว้ 3% ตามปรกติ แต่ไม่ได้นำส่งสรรพากร ตอนแรกก็นึกในใจว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะว่ามันเป็นปัญหาของเขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราอยู่แล้ว แต่ที่ต้องเก็บมาคิดเลยคือ ยอดนั้นที่เขาไม่ได้นำส่ง เราก็จะไม่ได้คืนตามไปด้วย อ้าวเห้ย.. ผิดก็ไม่ใช่เราผิด แล้วทำไมยอดเงินนั้นกลับไม่ได้

สรรพากร

ทิ้งเอกสารไว้ 2 อาทิตย์จึงได้กลับมาตามนัดเพื่อเอาเอกสารกลับ ทางสรรพากรแจ้งว่าให้รอหนังสือแจ้งคืนเงินภาษีอากรส่งไปรษณีย์กลับไปที่อยู่สำนักงาน แล้วค่อยเอาใบดังกล่าวนั้นไปยื่นต่อเขตเพื่อให้ออกเช็คให้ ก็เลยต้องไปๆ มาๆ ระหว่างเขตกับจังหวัดอย่างสนุกสนานเพื่อทำเรื่องขอคืนภาษี สมแล้วที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานมนานว่ากรมนี้จ่ายง่ายคืนยาก เหมือนประกันไม่มีผิด ซื้อง่าย แต่เคลมยาก

ที่จริงแล้วการเกี่ยวข้องกับสรรพากรมันควรจะจบไปตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งโอเคเรื่องขอคืนภาษีปี 16 มันก็จบได้โดยใช้เวลาดำเนินการประมาณ 2 เดือนนิดๆ แต่อยากให้คุณผู้อ่านลองนึกภาพตามดูว่ามัน makesense มั้ยที่เรื่องของปีก่อนนู้นยืดยาวต้องมาเดินเรื่องปีนี้ แล้วการจัดการก็ดูเหมือนจะสับสนไม่ smooth เหมือนเวลาตอนที่ยื่นภาษีทุกเดือน

ปีที่แล้ว(17) บริษัทผมมีรายได้เกินล้านแปด เลยจำเป็นต้องเอาเข้า VAT ซึ่งก็ต้องยื่นเรื่องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องเตรียมเอกสารเข้าไปพบ ครั้งแรกต้องไปเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณียื่นแบบจดผ่านอินเตอร์เน็ต หลังจากนั้นพอให้ข้อมูลเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว ก็โดนสรรพากรจังหวัดเรียกเข้าไปพบอีกครั้งประมาณ 2 สัปดาห์ต่อมา อารมณ์ประมาณให้ความรู้กับบริษัทใหม่เรื่องภาษีพร้อมโดนซักถามเล็กน้อย คือถ้าถามว่าอยากเข้าไปมั้ย ก็ไม่ได้อยากเพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องเผื่อเวลา ช่วงที่งานเยอะ เรียนหนักก็ไม่อยากจะใช้เวลากับตรงนี้มาก แต่ถ้าถามว่าโดนซักถาม หรือเข้าไปแต่ละทีความรู้สึกเป็นยังไง ก็บอกว่าเฉยๆ เพราะเราเองก็ทำตามข้อกฏหมายทุกอย่าง ไม่ได้กังวล หรือต้องเตรียมตัว จะเหนื่อยก็เรื่องเตรียมเอกสาร แล้วก็ต้องเดินทางเนี่ยแหละ

ผ่านมาเดือนเศษนับตั้งแต่ทำอะไรให้เรียบร้อย ทั้งขอคืนภาษี ทั้งได้ใบ ภพ 20 ก็รู้สึกว่ากว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้ มันเป็นเรื่องที่เหนื่อยเหมือนกัน ทั้งๆ ที่น่าจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้ดีกว่านี้ มันเหนื่อยตรงที่เหมือนกับข้างในไม่ได้ประสานงานแต่ละเคสอะไรกันเลย ไป 3 ครั้ง ก็ต้องเจอเจ้าหน้าที่ 3 คน เวลาถามเรื่องของเคสเก่า ก็ต้องไปถามคนที่เราคุยด้วยในแต่ละเคส ไม่ได้เชื่อมต่อถามผ่านคนนั้นแล้วจะได้ข้อมูลของเคสเก่าเคสใหม่

amazon เมืองทอง

คืออาจจะไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาเจออะไรพวกนี้ตอนอายุ 27 ด้วยส่วนนึง แต่อีกใจนึงมาลองนั่งคิดดู ก็รู้สึกดีที่มันผ่านๆ จบๆ ไปแล้ว ไม่ต้องไปเจออะไรในวันข้างหน้าที่ตัวเองยุ่งขึ้นมากกว่านี้ หรือมีเงินมากกว่านี้เพื่อจ้างคนมาทำพวกนี้แทน.. แต่อย่างว่า ถ้าจ้างคนมาเสียเวลาเจอแบบนี้แทน เราก็เหมือนจะไม่รู้ process อะไรแบบนี้เลย

มองโลกในแง่ดี ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี.

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ