อาดัง – หลีเป๊ะ ไปยาก.. อย่าไปเลย

เพราะรูปถ่ายเก่าๆ เพียงใบเดียว

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวหลีเป๊ะครั้งแรก จะบอกว่าตั้งใจไปหรือเปล่าผมจำไม่ได้หรอกครับ อาจจะเป็นเพราะผมมีญาติฝั่งพ่ออยู่ที่จังหวัดสตูลด้วย เลยชักชวนกันไปประมาณ 4-5 วัน และเท่าที่ผมจำได้คือต้องนั่งเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือไปที่หลีเป๊ะ ตอนนั้นน่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงถ้าจำไม่ผิด พอลงจากเรือใหญ่แล้วก็ต้องต่อเรือหางไปจอดที่หน้าหาด แล้วก็เดือนลุยน้ำประมาณหน้าแข้งขึ้นเกาะ

lipe-10-years

ตอนนั้นตื่นตาตื่นใจมาก ตามประสาเด็กสิบห้าไม่เคยเห็นทะเลน้ำใสเหมือนกระจกอย่างนี้ที่ไหนมาก่อน เมื่อก่อนเกาะยังไม่เจริญเหมือนทุกวันที่ได้เห็นตามทีวีตามเน็ตครับ ผมขึ้นฝั่งที่หน้าเกาะ ต้องเดินไปหลังเกาะผ่านทางลาดหญ้าเล็กๆแคบๆ สองข้างทางเป็นป่าแล้วก็ไปนอนที่โรงพักเก่า ลุงผมเป็นตำรวจ ป้าเลยขายอาหารอยู่แถวนั้น

จำได้ว่าไฟก็ต้องปั่นเอง นอนมุ้ง ตื่นมาก็นั่งใต้ต้นสนใหญ่ ร้อนก็กระโดดลงทะเล คลื่นแรงสูงกว่าที่อื่นแต่น้ำใสน่าเล่นมาก ว่ายออกไปจากฝั่งประมาณ 10 เมตรก็เป็นแนวประการังที่สมบูรณ์มีปลาเล็กใหญ่หายากว่ายให้เห็นตลอด นีมงนีโม่นี่มาให้เห็นประจำ แล้วแม่งก็ดุด้วย

คนอื่นหยุด เราทำงาน, คนอื่นทำงาน เราหยุด

ช่วงสงกรานต์ก็ปั่นงานให้เรียบร้อย แล้วก็ไปเที่ยวช่วงวันธรรมดาหลังสงกรานต์แทน ทริปนี้ผมเดินทางไปกับแม่ แล้วค่อยไปเจอญาติที่จังหวัดสตูล นอนบ้านญาติก่อนคืนนึง แล้วค่อยขึ้นเรือไปหลีเป๊ะวันรุ่งขึ้น ตอนมาครั้งแรกผมจำไม่ได้ว่าตัวเองได้มาขึ้นเรือที่ปากบารานี่หรือเปล่า ตอนนั้นไปเรือใหญ่ คราวนี้ไปสปีดโบ๊ทซึ่งเป็นแพ็คเกจแบบคิดเป็นรายหัวไป-กลับของ tarutaospeedboat ซึ่งพี่ผมได้ราคาคนกันเองตกหัวละ 1,200 บาท เรือจะแวะจอดที่เกาะตะรุเตา เกาะไข่ แล้วก็ไปจบที่หลีเป๊ะ วันที่ขึ้นเรือเป็นวันพุธ บรรยากาศที่ท่าเรือก็หลวมๆ สบายๆ แดดแรงเป็นใจให้ถ่ายรูปสวย

แดดถ่ายรูปสวยก็จริง แต่ไอโฟน 5 ที่ใช้เนี่ยหลายปีละ เก็บแบตก็ไม่ได้ เมมก็จะเต็ม ต้องใช้มันถ่ายรูปเก็บมาทั้งทริปอีก

ท่าเรือปากบารา

ท่าเรือปากบารา2

ลงเรือไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงเกาะตะรุเตา ครั้งแรกที่มารู้สึกว่าเรือใหญ่จะไม่จอดที่นี่ แต่ครั้งนี้มาสปีดโบ๊ทเขาเลยจอดให้ขึ้นมาถ่ายรูปในอุทยานประมาณ 15 นาทีแล้วค่อยไปต่อ เมื่อก่อนเกาะนี้ใช้เป็นเรือนจำขังนักโทษครับ ตอนนี้ส่วนใหญ่บนเกาะก็เป็นเขตอุทยาน มีต้นสนมีม้าหิน ให้พักถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอ

เกาะตะรุเตา

ท่าเรือเกาะตะรุเตา

เกาะไข่ เหมือนซุ้มประตูเข้าจังหวัดสตูล

เครื่องผมลงที่หาดใหญ่ ต้องต่อรถอีกสองต่อเข้าจังหวัดสตูล ไอ้ช่วงที่กำลังเข้าจังหวัดนั่นแหละครับจะมีซุ้มประตูอยู่ ซึ่งซุ้มประตูนี่เองก็จะเลียนแบบมาจากทางลอดที่อยู่บนเกาะไข่ พอขึ้นเรือจากตะรุเตามาได้สัก 15 นาทีก็จะแวะขึ้นที่เกาะเล็กๆ กลางทะเลให้ถ่ายรูปแลนมาร์คตรงนี้สักพักนึงก่อนไปต่อ ผมว่าเอาแค่เกาะไข่เนี่ย น้ำก็ใสกว่าเกาะช้าง, หัวหิน, เสม็ดแล้วนะครับ แค่เพิ่งมาถึงครึ่งทางของหลีเป๊ะเอง

พอเสร็จจากเกาะไข่ก็จะต้องนั่งเรือต่อเข้าไปอีกประมาณ 40 นาที ก็จะเห็นเกาะหลีเป๊ะแล้วครับ แว๊บแรกที่เรือกำลังขับเข้าบริเวณเกาะ รีสอร์ทสไตล์โมเดิร์นทั้งหลายก็เข้ามากระแทกลูกตาจนลืมภาพโรงพักเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไปเลย

เกาะไข่

ซุ้มประตูเกาะไข่

ถ่ายเรือที่โป๊ะกลางทะเล

เออ อันนี้ค่อนข้างแปลกสำหรับผมนะ ครั้งแรกที่มาเรือใหญ่จะจอดนอกฝั่งแนวประการัง แล้วเรือหางขับมารับลุยน้ำเข้าไปที่หน้าเกาะ ส่วนครั้งนี้สปีดโบ๊ทไปจอดเกือบท้ายเกาะซึ่งจะมีโป๊ะลอยน้ำ จุคนได้ประมาณ 200 คน ต้องแบกของจากเรือขึ้นที่โป๊ะนั้นก่อน ซื้อตั๋วเที่ยวเกาะ แล้วค่อยแบกของลงเรือหางยาวที่อยู่ใกล้ๆ กับที่ขึ้นเมื่อกี้

เอาจริงๆ แม่งลำบากตอนนี้แหละ เวลาคนมาเที่ยวที่ไหนสวยๆ มักจะไม่ค่อยถ่ายภาพบรรยากาศอีกด้านของเวลามาเที่ยว ผมคิดว่าตัวเองยังโชคดีที่มาวันธรรมดา แล้วก็หลังเทศกาลใหญ่ คนยังไม่แน่นมากเท่าไหร่แต่ก็ตามภาพที่เห็น เพราะกว่าจะลงเรือแต่ละลำได้ก็ใช้เวลาขนของลง พาคนสูงอายุกับเด็กลงไปนั่ง ทางลงมีทางเดียวอีก

เจ้าหน้าที่บอกว่าช่วงสงกรานต์หนักกว่านี้ เรือจอดไม่ได้เพราะโป๊ะรับคนได้น้อย เรือต้องวนรอบโป๊ะไปก่อนจนกว่าจะถ่ายคนออก

โป๊ะท่าเรือหลีเป๊ะ

ท่าเรือหลีเป๊ะ

หลีเป๊ะ สิบปียังเป๊ะเหมือนเดิม เลยไม่อยากให้มาเพราะหวง

แต่สิ่งที่ต้องบอกว่ายังอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือสภาพของสิ่งแวดล้อมบริเวณเกาะ หลังจากผมลงเรือหางได้แล้วก็จะนั่งต่อไปแปปเดียวประมาณ 3 นาที ใครที่ไม่เคยมาก็จะคิดว่ามันเป็นนาทีที่เร็วมาก คุณจะเพลิดเพลินกับสีของน้ำ มองลงไปข้างล่างเห็นปะการังเป็นแนวยาวชัดเจน ดูเหมือนจะไม่ลึก ลงไปน่าจะยืนถึง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ คนมาเที่ยวมักโดนคลื่นหลอกตากันประจำ

หาดทรายหลีเป๊ะ

เดี๋ยวนี้ใกล้ถึงหาดไม่ต้องเดินลุยน้ำแล้วครับ มีแพทุ่นลอยน้ำให้เดินลงบนทรายหน้าหาดได้เลย ผมลงมาแล้วรู้สึกว่าทุกอย่างแม่งเปลี่ยนไปมาก ทั้งร้านค้าร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ผู้คน ฯลฯ ทุกอย่างมันดูเผินๆ แล้วสะดวกกว่าเมื่อก่อนมาก ผมไม่รอช้าเก็บกระเป๋าที่ห้องแล้วตะลุยเดินเที่ยวในเกาะเลย รีสอร์ทที่ผมพักก็บ้านๆ ไม่ดีไม่แย่เท่าไหร่ แต่ติดหน้าหาด เดินออกมาไม่ถึง 20 ก้าวก็เดินเข้าซอย walking street ของเกาะได้เลย.. นั่นแหละครับ พนักงานที่รีสอร์ทเรียกว่า walking street เพราะทำมาแทนทางเดินลาดหญ้าเมื่อสิบปีก่อนที่ผมเขียนไปเมื่อตอนแรก ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ ถนนคนเดินตรงนี้ก็น้องๆเกาะพีพีเห็นจะได้ มีร้านขายของ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านนวด บาร์ เซเว่น แล้วก็ส่วนใหญ่จะเป็นร้านโรตี ต่างจากพีพีตรงที่ว่าคนมาเที่ยวส่วนใหญ่ก็ยังเห็นเป็นคนไทยครึ่งต่อครึ่ง ของพีพีตอนนั้นที่เคยเขียนบทความไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว(ทริปส่งท้ายปี .. 5 วัน ที่ กระบี่) ทั้งเกาะแม่งคนมาเที่ยวส่วนใหญ่เจอแต่ต่างชาติ ไม่ฝรั่งก็จีน

สะดวกมาแทนเสน่ห์, สิบกว่าปีที่แล้ว ตรงนี้เป็นทางลาดหญ้าด้านข้างเป็นป่าไม่มีห่าไรเลย แล้วดูตอนนี้..

ร้านกาแฟบนเกาะ

ถนนคนเดิน หลีเป๊ะ

ราคาของบนเกาะก็ถือว่าแพงกว่าบนฝั่งอยู่นิดหน่อย ถ้าเป็นคนกรุงเทพฯ มาเที่ยวก็อาจจะไม่ได้ซีเรียสความแตกต่างตรงนี้มาก อย่างเช่นบางอย่างแพงกว่า 10-20 บาท ผมว่ารับกันได้

เกาะหินงาม เกาะยาง หาดราวี อาดัง

Us against the world

วันรุ่งขึ้นก็ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวออกไปเที่ยวเหมือนกับคนอื่นเขาทำกันนั่นแหละครับ เหมาเรือชาวเลให้พาไปเที่ยว ไปดำน้ำที่ต่างๆ ที่ขึ้นชื่อและเคยได้ยินกันมาอย่าง เกาะหินงาม เกาะยาง หาดราวี แล้วก็อาดัง ใครไม่อยากนั่งเรือหางนานๆ ก็เหมาสปีดโบ๊ทไปเลยก็ได้ครับ จอดที่เดียวกัน ลงดำน้ำเหมือนกัน แล้วก็แวะพักทานข้าวกลางวันตามโปรแกรมที่หาดราวีเหมือนกันทุกอย่าง

ดำน้ำเกาะหลีเป๊ะ

ผมคงไม่เขียนเล่าแน่นอนว่าแต่ละที่สวยยังไง ดียังไงมีความเป็นมาแบบไหน เรื่องเที่ยวผมคิดว่าฟังปากต่อปาก ให้จินตนาการแค่ไหนก็ไม่เท่ากับตาเห็น ตาเห็นไม่เท่าลงไปสัมผัส แต่ยังคงบอกได้อย่างเดียวเหมือนเดิมว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิบปีนี่ผมก็ไปเที่ยวมาหลายที่ แต่ก็ยังไม่เห็นทะเลไทยที่ไหน มีความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ใต้ทะเลเหมือนกับที่หลีเป๊ะ ไปที่ไหนกลัวไม่คุ้มไม่เป็นไร มาที่นี่ผมรับรองว่ายังไงก็คุ้ม ถึงแม้ว่าความเจริญความสะดวกมันจะเริ่มเข้ามาบ้าง แต่ถ้ายังอนุรักษ์ความเป็นอยู่ให้เป็นอย่างนี้ต่อไปได้ก็ถือว่ายังโอเค

ปูเสฉวน2
มีแต่คำพูดสวยหรู แต่ไม่ลงมือทำเอง ก็คลานไม่ถึงจุดหมาย

คนกรุงเทพฯ มันก็คนกรุงเทพฯ จริงๆนะ

หาดหลีเป๊ะ

หาดหลีเป๊ะพระอาทิตย์ตก

ผมเองก็คนกรุงเทพฯ เหมือนกันแหละครับไม่ต้องไปมองที่ไหนไกล ช่วงเวลาพักผ่อนเย็นๆหลังจากกลับจากดำน้ำแล้ว ผมชอบนั่งจิบเบียร์อยู่หน้าหาดมองโน้นมองนี่ไปเรื่อย ได้เห็นคนที่ลงจากเรือหางขึ้นฝั่งแบกกระเป๋าสามสี่ใบ แต่งตัวเต็มยศ เครื่องประดับประดาเพียบหนาหูหนาตา คือเวลาเข้าหาดมีทุ่นลอยให้เดินก็จริง แต่ถ้าคนมาเยอะมากๆ หรือเรือหางจอดเต็ม หรือรีสอร์ทอยู่ไกลยังไงก็ต้องเดินลุยน้ำเข้าหาดอยู่ดี ถึงแม้มันจะแค่หัวเข่า แต่ถ้าไม่ใช่รองเท้าแตะ ขาสั้นยังไงก็ลำบากอยู่ดีนั่นแหละครับ

ตอนนั่งกลับจากเกาะเนี่ยยิงยาวจากหลีเป๊ะถึงท่าเรือปากบาราเลย ถ้าคนขับทำเวลาหน่อยก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ แน่นอนว่าต้องแบกของขึ้นเรือหางมาขึ้นโป๊ะ แล้วค่อยถ้าของจากโป๊ะลงสปีดโบ๊ท ใครที่มาแล้วแบกกระเป๋าหนักๆ หรือเอามาหลายใบก็เหนื่อยหน่อย ที่จริงแล้วมาเที่ยวหลีเป๊ะแล้วนอนหลายคืนหน่อยนี่ไม่เหนื่อยหรอกครับ ที่เหนื่อยคือเวลารอเรือ ถ่ายเรือ ขนของ ประกอบกับเจออากาศร้อนอบอ้าวด้วยจะทำให้เพลียจากเดินทางมากกว่า

หาดทรายที่หลีเป๊ะ

หาดหลีเป๊ะ2

ช่วงวันกลับมาถึงท่าเรือคนเยอะมาก พอดีวันนั้นเป็นวันศุกร์ ทั้งทัวร์มาลง ทั้งมากันเองเรียกได้ว่าแตกต่างกับวันขึ้นเรือวันพุธลิบ คนเยอะจนต้องแทบจะต้องแย่งใช้ห้องน้ำห้องท่า ไหนจะเสียงดัง ไหนจะซื้อตั๋วลงเรืออีก ถ้าจะมาก็แพลนกันแต่เนิ่นๆ ดีกว่า

ท่าเรือปากบาราวันศุกร์

สตูลมันไม่ได้มีแค่หลีเป๊ะหรือเปล่า?

ถ้าพูดถึงจังหวัดสตูล ผมว่าถ้าไม่พูดถึงเกาะหลีเป๊ะแล้วน่าจะไม่มีคนรู้จักเท่าไหร่ ผมเองก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าจริงๆ ในจังหวัดสตูลก็มีที่เที่ยวที่อื่นค่อนข้างเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นป่า เป็นลำธาร น้ำตก และถ้ำ ญาติผมพาไปเที่ยวที่น้ำตกวังสายทอง ที่นี่ถ้าไม่ใช่หน้าร้อน หรือน้ำจากลำธารเยอะหน่อยจะนิยมล่องแก่งกันมาก เพราะได้ความสนุกจากทางน้ำผ่านที่ใสเห็นปลาและเย็นสดชื่น แล้วไหนจะได้เห็นเผ่าซาไกด้วย

ภูต้นน้ำ

ผมได้เข้ามาพักที่ภูต้นน้ำคืนนึง ถ้าขับรถออกมาจากตัวจังหวัดก็ประมาณ 40 กิโล อาจจะฟังดูไกลนะครับ แต่ถนนหนทางค่อนข้างดี สองข้างทางเป็นบ้านเรือนของชาวบ้านแถวนั้น ใครที่ชื่นชอบการเที่ยวป่าหรืออะไรเขียวๆ น่าจะชอบ คนที่นี่นิยมปลูกยาง ปลูกเงาะ ทำให้ด้านข้างซ้ายขวาของถนนมีแต่ต้นไม้ใหญ่เห็นแล้วสดชื่นถึงจะหน้าร้อนก็ตาม

ถ้ำภูผาเพชร

ถ้ำที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก

ตอนแรกก็ไม่เชื่อเหมือนกันครับ ไม่คิดว่าถ้ำที่จะใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกจะมาอยู่ที่จังหวัดเล็กๆ ทางภาคใต้ได้ ญาติผมพาไปเที่ยวที่ ถ้ำภูผาเพชร เป็นถ้ำที่ไม่ได้อยู่ข้างล่างติดพื้นดินเพราะต้องเดินขึ้นเขาตามทางไปประมาณ 200 ขั้น แล้วเข้าถ้ำผ่านทางลอดเล็กๆ ที่สูงประมาณ 80 ซม. แต่พอเข้าไปแล้วเหมือนกับอยู่อีกโลกนึงเลย ข้างในกว้างมาก ลองจินตนาการถึงบริเวณในถ้ำที่มีเนื้อที่กว่า 50 ไร่ ใช้เวลาเดินข้างในเกือบครึ่งวันกว่าจะครบ ทางเดินเป็นทางเดินไม้ ต้องใช้ไฟฉายเพื่อดูหินงอกหินย้อย ที่นี่มีไกด์พาเดินให้ประกอบกับเล่าเรื่องราวโน่นนี่ให้ฟังแบบไม่น่าเบื่อ บรรยากาศภายในถ้ำเย็นกว่าข้างนอก อากาศถ่ายเทได้ค่อนข้างดี ใครที่มาสตูลแล้ว ถ้ามีเวลาหลังจากไปหลีเป๊ะก็น่าจะลองมาเดินที่นี่ดูครับ สนุกไปคนละแบบ

กล้องมือถือ เก็บภาพอะไรไม่ค่อยได้หรอกครับ แบตก็เสื่อม เมมก็จะเต็ม โถชีวิต

ถ้ำภูผาเพชร2

ภายในถ้ำ

มาน้ำตกบริพัตร แบบบังเอิญ

นอกจากในทริปนี้จะได้ไปน้ำตกวังสายทองแล้ว ยังได้มาน้ำตกบริพัตรแบบบังเอิญด้วย รถญาติที่จะแวะมาส่งผมที่หาดใหญ่ความร้อนขึ้นเลยได้หยุดแวะพักที่น้ำตกบริพัตรซึ่งอยู่ระหว่างทางกลับจากสตูลไปหาดใหญ่ เอาจริงๆ จะบอกว่าเมื่อก่อนก็ไม่ได้คิดอะไรว่าจังหวัดสตูลจะมีที่เที่ยวทางธรรมชาติเยอะ แต่พอได้มาสัมผัสเองจริงๆ รู้สึกว่าน่าจะเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างมาก ป่าก็อุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ใหญ่ยังมีให้เห็นอยู่เยอะ ทะเลก็ยังไม่มีอะไรที่ไปทำลายระบบนิเวศน์มากเท่าสถานที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ อย่างที่เราไปกันบ่อยๆ

น้ำตกบริพัตร

มาสตูลคราวนี้ 5 วัน 4 คืน ได้เห็น ได้รู้อะไรใหม่ๆ อย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้จากจังหวัดเล็กๆ ทางภาคใต้จังหวัดนี้ ถึงแม้การเดินทางมันจะไปค่อนข้างยาก แล้วก็ลำบาก แต่คิดว่าถ้าใจไปแล้วก็เอาให้สุดเถอะครับ ครั้งนึงในชีวิตเราทำตอนที่เรายังไหว ดีกว่าผลัดไปวันหน้าแล้วสังขารเราลำบากแล้วจะมานั่งเสียดายเอานะ

ลองดูรูปน้องผมเทียบ scale กับต้นไม้ต้นนี้เอาก็ได้.

ต้นไ้ม้ใหญ่ที่ถ้ำภูผาเพชร

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ