ปากกาเมจิกดำ

เรื่อง(ไม่)เล็ก สำหรับคนชอบขีดเขียน

ปากกาเมจิกดำ

ปากกาเมจิกสีดำดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะหยิบยกมาเขียนเป็นบทความหนึ่งได้ใช่ไหมครับ คุณอาจจะคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็กที่ไม่เห็นต้องใส่ใจอะไรมากเลย ก็แค่เลือก ขีดๆเขียนๆ ลองใช้ดูว่าเขียนดีติดทนหรือเปล่า จากนั้นก็เดินเข้าไปชำระเงินที่เคาเตอร์แคชเชียร์.. มันก็แค่นั้น แต่ความจริงแล้วสำหรับอาชีพที่ใช้ปากกาเมจิกสีดำอยู่บ่อยๆ มักจะใช้ปากกายี่ห้อเดิม รุ่นเดิม ด้วยความที่น้ำหนักหรือรูปทรงที่พอดีกระชับเข้าอุ้งมือ แต่ความเป็นจริงที่สำคัญที่สุดเลยคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของการที่เราใช้มันเพื่อขีดเขียนหรือวาดนั่นแหละครับ

ผมมักจะพก และใช้ปากกาเมจิกสีดำไปไหนต่อไหนอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าใช้แทนปากกาน้ำเงินปรกติ หรือดินสอไปเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่ว่าเส้นของปากกาเมจิกดำนั้นดูหนักแน่นดี ประกอบกับลายเส้นคงทนไม่หลุดหรือจางหายไปง่ายๆ แต่ด้วยความที่ว่าปากกาเมจิกในท้องตลาดนั้นมีเยอะจนเลือกแทบไม่ถูก จนมาวันนึงก็เลยตัดสินใจเข้าไปยืนลองขีดๆเขียนๆ อยู่ที่ B2S สาขาใกล้บ้านอยู่ร่วมชั่วโมง ก็ได้ปากกาเมจิกดำที่ “คิด” ว่าน่าจะเหมาะกับการนำมาใช้วาด หรือเขียน ซึ่งก็มี 3 ยี่ห้อ 4 แบบ ที่เลือกซื้อมาได้แก่

  • Pentel Signpen
  • Staedtler Permanent size M
  • Sharpie Fine point
  • Sharpie extra fine point

ปากกาดำ

 

marker-compare

เมื่อก่อน โดยส่วนตัวแล้วเคยใช้อยู่ยี่ห้อเดียวคือ Sharpie ซื้อทั้งแบบ fine point ธรรมดา มาใช้สลับกับ extra fine point บ้าง ซึ่งผมคิดว่าปากกายี่ห้อ Sharpie นี้ค่อนข้างจับถนัดมือ, ออกแบบมาค่อนข้างดี แต่เสียอย่างเดียวที่รุ่น extra fine point มักจะใช้หมดเร็วจนเซ็ง บางครั้งเขียนไปเขียนมาน้ำหมึกมาบ้างไม่มาบ้าง ทำให้ลายเส้นขาดๆ หายๆ

ยิ่งตอนไหนที่ลากเส้นยาวๆ วาด wireframe แต่ละครั้งนี่มีเซ็งเหมือนกัน

ส่วน Fine point นี่ก็ทดแทนเรื่องลายเส้นไม่ต่อเนื่องได้ค่อนข้างโอเค แต่เสียอย่างเดียวตรงที่ว่าหัวปากกาของรุ่นนี่จะค่อนข้างใหญ่ไปหน่อย ทำให้เก็บรายละเอียดได้ไม่ดีนัก โดยรวมแล้ว ส่วนตัวผมค่อนข้างชื่นชอบปากกายี่ห้อนี้จนได้มาเจอกับทางเลือกอีกสองยี่ห้ออย่าง Pentel และ Staedler ที่ทำปากกาเมจิกดำออกมาได้น่าสนใจไม่แพ้กันเลย

Pentel Signpen

pentel-marker

pentel-touch

รูปร่าง หรือรูปทรงอาจจะไม่ได้สวยงาม หรือกระชับเข้ามือเหมือนกับอย่างที่ Sharpie ทำขึ้น แต่ด้วยความที่ว่าลายเส้น และให้ประสบการณ์ในการลาก หรือเขียนได้อย่างลื่นไหล ลายเส้นดูแข็งแรง ลากยาวได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเส้นขาดหาย อีกทั้งหัวปากกายังมีขนาดที่ค่อนข้างพอดี เหมาะกับการนำไปใช้เขียนบันทึกชั่วคราว หรือจะวาดรูป ลงแรเงาก็ใช้ได้ดีไม่มีปัญหา

ให้ความรู้สึกอารมณ์ประมาณเดียวกับพู่กันญี่ปุ่นเลยอย่างไงอย่างงั้น.. ตัวปากกาเองก็ผลิตที่ญี่ปุ่นด้วย

Staedtler Permanent size M

staedtler

staedtler-marker

เหมือนผมจะรู้จักปากกายี่ห้อ Staedtler มาจากคอร์สสอนวาดรูปคอร์สนึงบนอินเตอร์เน็ต ซึ่ง Staedtler เองก็ทำออกมาหลาย size ให้เลือกเหมาะกับคนที่จะใช้กับงานที่เฉพาะเจาะจง ข้อดีของปากกานี้คือให้ความรู้สึกที่คงทน หนักแน่นมากเวลาเขียน ถึงแม้หัวปากกาจะทำออกมาค่อนข้างใหญ่กว่า Pentel Signpen อยู่พอสมควร แต่ก็จะทดแทนในเรื่องของความมั่นคงแน่นอนเข้ามาแทน

โดยรวมแล้วผมคิดว่าเป็นหัวปากกที่ size กำลังดีกว่า Sharpie แบบ fine point แต่รูปทรง หรือลักษณะการจับกระชับเข้ามือนั้นยังไงก็ยังสู้ Sharpie ไม่ได้

ผมคิดว่า ปากการเมจิกดำนี่ก็เหมือนค่านิยมอยู่นะครับ ทำนองเดียวกับกาแฟหลายยี่ห้อที่มีตามท้องตลาดไม่ว่าจะเป็น Mezzo, Amazon หรือแม้แต่ Starbuck เอง ความรู้สึกของคนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าหรือลึกซึ้งลงมาอยู่ในสถานะเหล่านี้บางครั้งก็อาจจะคิดว่า “มันก็แค่ปากกาเมจิกธรรมดา” ไม่เห็นจะมีอะไรวิเศษณ์มากไปกว่ากันเลยแม้แต่น้อย แต่คนที่ต้องใช้ หรือต้องคลุกคลีกับมันอยู่บ่อยๆ ก็อาจจะเห็นถึงความแตกต่าง.. นั่นเรื่องธรรมดา เหมือนกับคนกินกาแฟแหละครับ คอกาแฟจริงๆ ก็จะรู้ว่ากาแฟแบรนด์ไหนรสชาติดีกว่าแบรนด์ไหน บางครั้งเขาอาจจะไม่ได้มอง หรือสนใจที่ค่านิยมเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่ต้องดื่มต้องทานอยู่ทุกวันอย่างขาดไม่ได้แล้ว เขายินดีที่จะจ่ายเพื่อแลกกับอรรถรสความพึงพอใจส่วนตัวที่มีมากกว่าแน่นอน

sharpie-marker

shapie-extra-fine-point sharpie-fine-point

สรุปแล้วผมยังคงชื่นชอบ Sharpie เหมือนเดิมอย่างบอกไม่ถูก แค่ตอนนี้กำลังหลงใหลประสบกาณ์ที่ Signpen มีให้ แค่เท่านั้น.

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ