ตรวจสุขภาพ ๒๕๕๘

หนึ่งครั้งในรอบหลายปี

นความเป็นจริงแล้วผมเป็นคนที่ค่อนข้างทานยาบ่อย เนื่องจากร่างกายจะ sensitive กับสภาพอากาศหรือแม้แต่กระทั่งฝุ่นละออง เรียกได้ว่าไปเดินบนฟุตบาทในกรุงเทพฯ สัก 5 นาทีวันรุ่งขึ้นก็เป็นหวัดได้ง่ายๆ แล้ว แต่อาการพวกนี้หายไวครับ กินยานอนพักผ่านไปวันรุ่งขึ้นก็หายประมาณว่าเป็นภูมิแพ้อากาศธรรมดาเลยว่างั้นก็ได้ เลยไม่ได้ไปตรวจสุขภาพเลยตั้งแต่ก่อนขึ้นมหาลัยมา เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้ไปตรวจสุขภาพมาซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีจะว่าอย่างนั้นเลยก็ได้

เรื่องสายตานี่คิดไว้อยู่แล้วว่ายังไงก็อาจจะเพิ่มขึ้น ช่วงหลังๆนั่งทำงานหน้าคอมวันนึงก็ไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง ก็คิดว่าน่าจะส่งผลอะไรบ้าง ซึ่งผลที่ออกมาก็พบว่าสายตาสั้นเพิ่มขึ้นมาหน่อย แต่ก็มีเอียงเข้ามาด้วยทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่เคยสายตาเอียงเลย ผมสันนิษฐานได้เลยอย่างนึงคือหน้าจอ monitor ที่บ้านนี่น่าจะมีผลโดยตรงกับเรื่องนี้เลย โต๊ะทำงานผมใช้ macbook แล้วพ่วงจอขนาด 23 นิ้ว 2 จอออกมา

ซึ่งตอนแรกตำแหน่งมันก็ประมาณนี้

dual monitor position 1

ซึ่งถ้าถามว่าตำแหน่งมันดีมั้ย สำหรับผม ผมว่าแบบนี้ทำให้เรานั่งทำงานมองที่จอหลักได้ดีครับ อย่างเช่นเขียน code ที่จอ monitor 1 และเปิด web browser ไว้ที่ monitor 2 เพื่อสังเกตุการเปลี่ยนแปลงหรือ reload อะไรต่างๆนาๆที่นี่ หรือจะเปิดค้นหาข้อมูลอะไรทิ้งไว้ที่จอ 2 แล้วนั่งมองจอ monitor 1 เป็นจอหลักก็ได้ดีไปอีกแบบ

ซึ่งไอ้แบบเนี้ยโดยปรกติแล้วเราต้องตั้ง monitor หลักไว้ที่ด้านหน้าของเราเลย แล้วตั้งตำแหน่งจอ monitor รองให้มีมุมรับสายตาประมาณ 30 องศา แต่โดยความเป็นจริงผมคงวัดได้ไม่พอดีหรอกครับว่ามันกี่องศา แค่ปรับให้เวลาเราหันมามองมันรู้สึกดีเห็นตำแหน่งของแต่ละแบบชัดแค่นั้นพอ ซึ่งผมคิดว่าการวางตำแหน่งของจอภาพแบบนี้อาจจะเป็นต้นเหตุของการทำให้สายตามีค่าเอียงขึ้นมาก็เป็นได้ เนื่องจากต้องหันไปที่มุมด้านขวาอยู่บ่อยๆ บางครั้งเราขี้เกียจหมุนเก้าอี้หรือเอียงคอไปมอง ก็จะใช้สายตาเหล่ไปเพื่อความสะดวกแทน

จนตอนนี้ปรับกลับมาใช้แบบแรกเดิมๆ เลยคืออย่างภาพด้านล่าง

dual monitor position 2

ซึ่งมันก็อาจจะต้องมองทั้งสองจอไปด้วยพร้อมๆ กันแต่ส่วนตัวคิดว่าแบบนี้ น่าจะ ถนอมสายตาไม่ให้เอียงไปมากกว่าเดิมได้ในระดับนึง ส่วนผลตรวจเรื่องอื่นก็ไม่มีอะไรผิดปรกติ เห็นแต่จะมีกราฟคลื่นหัวใจที่หมอบอกว่าเต้นช้ากว่าปรกติอยู่พอสมควร

ครั้งนึงผมเคยคิดครับ ถ้าเราไม่รู้อะไรเลยเหมือนที่บรรพบุรุษของเราไม่เคยได้ใช้เทคโนโลยีในการตรวจหรือค้นหาสิ่งผิดปรกติที่อยู่ในร่างกาย เขาก็ยังดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยไม่มีอะไรมากระทบกับทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ในสมัยนี้อะไรมันก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะขึ้น บางคนตรวจแล้วก็สบายใจ แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่

คิดง่ายๆ ให้เหมือนกับไปดูดวงตามที่ต่างๆ นั่นแหละครับ

พระบรมรูปทรงม้า

หมอดูทักดี ก็ happy เริงร่า มีความสุขอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ถ้าได้ผลลัพธ์กลับกัน สภาพจิตใจก็จะหมองทั้งๆที่มันอาจจะไม่ได้เกิดไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยก็ได้ มนุษย์เราอาจจะชอบอาจจะรักในคำพูดที่ใครต่อใครพูดถึงเราในทางที่ดี แต่ถ้าไม่ก็จะวิตกจริตกันไปต่างๆ นาๆ จนบางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เราควรจะรู้หรือบางทีเลือกที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วใช้ชีวิตไปแบบปรกติที่เรามีต่อไปจะดีกว่า

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ