เสี่ยง

บางอย่างไม่เกิด ถ้าไม่เคยพิสูจน์

ลังจากเรียนจบ ป.ตรี ได้ไม่นานนัก ผมก็เริ่มทำงานเลยในเวลาไล่เลี่ยกัน จวบจนตอนนี้ผมทำงานมาได้ราวๆ 1 ปีแล้ว กับ 2 บริษัท ระยะเวลาในหนึ่งปีที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้อะไรหลายต่อหลายอย่างจากใครหลายคน ที่รู้ดีว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยนั้นให้ไม่ได้ สิ่งที่ได้รับมานั้นมีผลต่อทั้งช่วงอารมณ์ และ ความรู้สึก ประกอบกับสิ่งแวดล้อมอะไรหลายต่อหลายอย่างที่เคยได้พบผ่านในที่แตกต่างกันไป..

บางสิ่งเหล่าอาจจะทำให้เราหงุดหงิด เสียใจ แปรปรวน แต่มันก็ไม่เคยเปลี่ยนสิ่งที่อยู่ข้างในจริงๆ

สิ้นเดือนนี้จะเป็นการทำงานเดือนสุดท้ายของผมกับบริษัทหนึ่ง และ ก็ตัดสินใจแล้วว่าไม่อยากไปวิ่งเต้นสัมภาษณ์ หรือ ทำความรู้จักคุ้นเคยกับที่ใหม่อีก มันเหมือนกับเรากำลังเข้า loop อะไรสักอย่างที่เราเกลียดนักเกลียดหนา การเปลี่ยน และ จากใครต่อใครไปเรื่อยๆ หรือแม้กระทั่งการคิดเสียเวลาเรียนรู้ระบบงานของแต่ละที่ใหม่.. แล้วจะต้องมีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปทำตามสิ่งที่ตัวเองผลักออกไปตลอดเวลา?

บางอย่างไม่เกิด ถ้าไม่เคยพิสูจน์

ผมเลือกที่จะแบกรับความเสี่ยงรับงานเป็น freelance เองเต็มตัว ตัดสินใจออกมาใช้ชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นตรงกับช่วงเวลา ผู้คน หรือแม้แต่ ความคิดของใครต่อใคร ถึงแม้บางเดือนจะไม่มีงานเข้ามาเลย หรืออาจจะหลายต่อหลายเดือน แต่ถ้าบางครั้งบางครา เราไม่เคยเสี่ยง ทิ้งสิ่งที่เรากินที่เราย่ำอยู่เดิมๆ ทิ้งไป แล้วเราจะพิสูจน์ให้ใครต่อใครรู้ได้ยังไงว่า วันนึงเราแข็งแรงพอที่จะทำอะไรด้วยความคิดของตัวเอง

บางที คนเราก็อาจจะเป็นได้ทุกอย่างนั่นแหละครับ แต่เป็นไม่ได้อยู่อย่างเดียวคือเป็นตัวของตัวเอง

ผมไม่เคยเข้าใจ บางครั้งทำไมผู้คนมากมายจึงอยากมี อยากเป็น อยากได้ อยากเลียนแบบ สิ่งที่ตัวเองชอบใจนักหนา คิดว่าเราเองก็เป็นได้ มีได้ สร้างได้ เราพยายามเรียนรู้ใครต่อใคร คัดลอกการกระทำ และ ความคิดใครต่อใครเข้ามาสร้างเป็นเรา ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงสิ่งที่ตัวเองเป็นก็ไม่ได้แย่ ไม่ได้เลว ไม่ได้ทรามอะไรขนาดนั้น แล้วจนท้ายที่สุด เราพอใจ ที่จะเป็นตัวตนอย่างนั้นจริงๆ น่ะหรอครับ

แล้วท้ายที่สุดอะไรบ้างที่เป็นของเราจริงๆ

บางอย่างอาจสวยงามแค่ผิวเผิน ไม่ได้มีความลึกซึ้งใดๆ ก็ดึงดูดผู้คนออกไปได้ครานึง.. แต่สิ่งที่ยังฝังลึกลงไปถึงความรู้สึกใครต่อใครอย่างแท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่เป็นเปลือกอย่างที่เราพยายามสร้างสรรค์ปรุงแต่งกันอยู่อย่างทุกวันนี้ ผมว่าเราต้องเคยคิดกันไปถึงอนาคตข้างหน้า “อีก 5 ปี 10 ปี เราจะเป็นยังไง อยู่ตรงไหน อะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง” เช่นเดียวกันกับวันในอดีตเราก็คิดกันอยู่แบบนี้

ความคิด ความคาดหวังไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่เปลี่ยน คือการแสดงออกต่อสังคม และ สิ่งที่เราเป็นมากกว่า

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ