ทบทวน

ตอกย้ำ-นึกซ้ำ ซึ่งสิ่งที่ทำมา

ถ้าผมจั่วหัวบทความด้วยคำถามที่ว่า “ถ้านึกย้อนได้ เราอยากจะทบทวนเรื่องใดที่เคยผ่านมามากที่สุด” เคยคิดไหมครับ.. บางทีสิ่งที่เรากระทำและผ่านมันมาในอดีตมันดูเหมือนเรื่องราวเหล่านั้นที่ช่วงเวลานั้นมันเป็นเรื่องที่ซีเรียสในอารมณ์เรามาก แต่เมื่อเรื่องมันผ่านมานาน พอเรานึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลานั้นๆ เราก็อดไม่ได้ที่อยากจะขำเบาๆ เหมือนมันดูเป็นเรื่องตลกเล็กน้อย และ ไร้สาระมาก

ผมชอบย้อนกลับไปดูบทความเก่าๆของตัวเอง อยากรู้ว่าตอนนั้นเมื่อปีที่แล้วเรากำลังคิดอะไรอยู่ ในหัวเรามีแต่เรื่องอะไร เราเจออะไร ผ่านอุปสรรคอะไร เราเขียนอะไรลงมาในบล็อกส่วนตัวนี้บ้าง ทุกครั้งที่ผมย้อนกลับไปดู-ไปนั่งอ่าน ก็นึกตลกขึ้นมา เหมือนกับว่าเรื่องที่เราเจอตอนนั้นมันเล็กน้อยมาก มันก็ทำให้ฉุดคิดได้ขึ้นมาเวลาผมเจอปัญหาอะไรใหม่ๆเข้ามาในปัจจุบันนี้เสมอๆ

“เดี๋ยวผ่านไปสักสามสี่เดือน เราก็จะมองย้อนไอ้ปัญหาที่เข้ามานี้เป็นเรื่องเล็กน้อยไร้สาระเหมือนกัน.. แล้วจะต้องไปซีเรียสอะไรให้มากมาย” 

ใช่ครับ.. คนเราเมื่อแก่ขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น เรามีวุฒิภาวะ เรามีการแสดงออกต่อสังคมที่เหมือนจะโตและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มันก็เหมือนจะดี แต่ก็ต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง.. ยิ่งรู้เยอะ ยิ่งคิดเยอะ, ยิ่งรู้มาก ก็ยิ่งคิดมาก มันก็เหมือนกับเวลาเราเล่นเกมส์ไหนเกมส์นึง แรกๆเรารู้น้อยก็เล่นง่ายสบายๆ แต่ถ้าเรายิ่งรู้มากขึ้น ก็ต้องมีทริคกดปุ่ม มีเทคนิคเพิ่มมากขึ้น ความยากมันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ก็มีรางวัลเป็นความท้าทายตามมา.. ก็เรื่องธรรมดา

ลองพิจารณาถึงความหนักแน่นของจุดที่เรายืน, พิจารณาหากมันเป็นคอนกรีตอิฐปูนใช่เพียงเม็ดทราย..

ลองพิจารณาถึงความหนักแน่นของจุดที่เรายืน,
พิจารณาหากมันเป็นคอนกรีตอิฐปูนใช่เพียงเม็ดทราย..

ผมเผลอคิดเล่นๆถึงช่วงมัธยมขึ้นมาในช่วงบ่ายวันนึง, แถวที่ทำงานของผมอยู่ในตัวเมืองของกรุงเทพฯ ช่วงบ่ายแก่ๆผมจะชอบลงมาเดินซื้อของที่เซเว่นข้างล่างซึ่งติดกับสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง ผมมักจะเห็นเด็กมัธยมคอนแวนต์เดินถือกระเป๋ากลับบ้านเองวันแล้ววันเล่าจนอดคิดถึงตอนมัธยมเมื่อ 4-5 ปีที่แล้วไม่ได้.. โรงเรียนมัธยมของผมเป็นโรงเรียนเอกชนครับ แล้วก็เป็นโรงเรียนคริสต์ แน่นอนว่ามันให้บรรยากาศค่อนข้างแตกต่างกับโรงเรียนรัฐบาลทั่วๆไปอยู่พอสมควร ช่วงนั้นที่โรงเรียนค่อนข้างคุมเข้มกับการกลับบ้านเองของนักเรียนมากๆ ถ้าไม่มีผู้ปกครองมารับ ก็ต้องทำบัตรกลับบ้านเอง แล้วแสดงให้อาจารย์ที่หน้าโรงเรียนทุกเย็นถึงจะออกจากบริเวณโรงเรียนได้ นี่ขนาดอยู่นอกเมือง คนไม่พลุกพล่านยังค่อนข้างเข้มงวดอยู่มาก อย่างว่า เดี๋ยวนี้อะไรๆก็หมุนเร็วขึ้นมาก แท้จริงแล้ว ผมว่าทุกๆอย่างมันก็เหมือนๆเดิม เรายังไม่ได้แก่เร็วขึ้น ไม่ได้รู้สึกว่าทำไมเวลามันผ่านไปเร็วจัง วันนึงมีครบ 24 ชั่วโมงอยู่หรือเปล่า

เทคโนโลยีที่ทุกคนใช้อยู่ทุกวี่วันนั่นแหละครับ.. ตัวทำให้เราคิดว่าอะไรๆก็ผ่านไปเร็วขึ้น ก็แน่ซิ เดี๋ยวนี้อะไรๆก็ง่ายไปหมด อะไรๆก็ออนไลน์หมดแล้ว ไม่อยากจะคิดถึงความคิดที่ว่า “เด็กผู้หญิงวัยรุ่นอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้ออกไปไหน มือถือ, ที่บ้านไม่มีเน็ต” ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงรู้สึกธรรมดาๆกับประโยคนี้ แต่ถ้าเป็นปัจจุบันนี้ ผมว่า.. เด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนนั้นคงจะอยู่ค่อนข้างลำบากเชียวล่ะ

ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมกำลังคึกคะนอง มีอารมณ์ก็ใช้อารมณ์ เหตุผลเป็นส่วนเล็กมากถ้าเทียบกับความรู้สึก ผมก็ยังชอบอะไรง่ายๆ คิดอยู่ไม่ตกว่าจะเลิกมาทางด้านคอม แล้วไปเรียนเกี่ยวกับพวกวาดรูปบ้าง ถ่ายรูปบ้าง เพราะมันน่าจะเหมาะกับส่วนตัวดี .. แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้ตัดสินใจแบบนั้น มันเป็นช่วงลังเลว่าจะค้นหาตัวเองยังไง เป็นช่วงที่หาตัวเองไม่เจอจนตกลงปลงใจเรียนคอมด้วยเหตุผลง่ายๆเพียงหนึ่งข้อที่ว่า “ชอบเล่นคอม” มันเหมือนกับช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมาได้นั้นเราอดทนแบกมันอยู่บนบ่า กดความรู้สึกตัวเองให้จมติดดิน ใช้ได้เพียงแต่เหตุผล และ ตรรกะเพื่อตัดสินใจเท่านั้น

แท้จริงแล้วผมอยากจะทบทวน, ทบทวนเรื่องบางเรื่องอยู่เสมอๆว่าทุกวันนี้ หน้าที่การงานวันนี้ โอกาสเติบโตและพิสูจน์ตัวเองวันนี้ มันใช่แล้วหรอกับสิ่งที่เราอยากได้อยากเป็นมาตลอดในช่วงเวลาที่เรากำลังเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเสมอมา และ ผมก็ได้รู้แล้วว่า ตอนที่ผมตัดสินใจเดินมาทางนี้นั้น อย่างน้อยๆ.. “ผมก็ตัดสินใจถูก”

ขอบคุณบางสิ่งบางอย่างที่สอนให้เราระลึกอยู่เสมอๆถึงความถูกผิด-ความเป็นจริง.. ไม่ใช่เพียงแค่ช่วงอารมณ์และความรู้สึก ขอบคุณอะไรๆที่ประทังเข้ามาในชีวิต ให้เราได้พิสูจน์ พิสูจน์ว่าเราผ่านมันมาได้และเป็นบทเรียนที่ไม่เคยลืม..ตลอดมา

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ