การตัดสินใจ

หากการตัดสินใจ, คือ เรื่องยากเสมอ

ผมทิ้งช่วงนานมาก.. จำได้ว่าล่าสุดที่ได้เขียนบทความคือช่วงสงกรานต์ เหตุผลคือ ผมยุ่งมาก.. ยุ่ง เพราะ การตัดสินใจในหลายต่อหลายเรื่อง จนตัวผมเองเริ่มไม่แน่ใจครับ ไม่แน่ใจว่าที่ได้ตัดสินใจทั้งหลายทั้งมวลที่ผ่านไป รวมถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นถูกต้องแน่หรือเปล่า ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะช่วงของวัยที่กำลังจะเปลี่ยนจากการเรียนเป็นเริ่มทำงานด้วยหรือเปล่า เหมือนรู้สึกว่าตัวเอง.. ยังไม่ชิน ไม่พร้อมที่จะปรับตัวเสียเท่าไหร่…

เช่นเดียวกันกับหนังสือที่ผมเขียนอยู่บ่อยๆ มาเดี๋ยวนี้ ผมเริ่มจับหนังสือเล่มนั้นน้อยลง.. เขียนน้อยลง เหมือนกับช่วงเวลาที่เคยรู้สึกอะไรต่ออะไรมันเว้นว่างตกหล่นหายไป ถ้าผมบอกว่า ผมหยิบจับหนังสือเล่มนั้น.. เขียนบางสิ่งบางอย่างในใจลงไป เฉพาะตอนที่ผมมีปัญหา ปัญหาที่เกี่ยวกับความรู้สึก นั่นก็หมายความว่า ช่วงนี้ผมไม่มีปัญหากับความรู้สึก.. เป็นอย่างนั้นจริงๆน่ะหรอ? หรือ เพราะแท้จริงแล้ว.. เวลาการคิดช่วงความรู้สึกเหล่านั้นมันถูกเบียดหายไป และเราเองกลับคิดถึงเรื่องอื่นมากขึ้นกันแน่

ผมเรียนจบออกมาได้ 2 อาทิตย์แล้วครับ นี่ก็เริ่มจะเข้าสู่อาทิตย์ที่ 3 แล้ว แจ้งจบก็ยังไม่ได้แจ้ง รูปชุดครุยก็ยังไม่ได้ถ่าย เกรดก็ยังไม่ออก สอบโปรเจคจบก็ยังสอบไม่ได้.. สิ่งเหล่านี้เองทำให้ผมวิตกกังวลกับการทำงานที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ ผมไปสัมภาษณ์กับบริษัทอื่นๆมาแล้ว 4-5 ที่ด้วยกัน แล้วตอนนี้ก็ได้งานแล้ว มันเหมือนราวกับว่า ชีวิตยังเริ่มขั้นบันไดใหม่ไม่ได้ เพราะขาอีกหนึ่งข้างถูกรั้งไว้ด้วยอะไรบางอย่าง ผมคิดว่าการตัดสินใจในเรื่องอื่นๆก็เช่นเดียวกัน หากเราต้องเป็นกังวล หรือ ถูกรั้งรอด้วยอะไรบางอย่างที่ค้างคาอยู่ในใจ มันก็เหมือนกับเราผูกมัดตัวเองกับสิ่งเก่าๆ ทั้งๆที่เราก็สามารถไปสู่สิ่งใหม่ๆได้ .. ทุกอย่างล้วนเหมือนการตีความนั่นแหละครับ

quote-jir4yu

การตีความสวยงามเสมอ.. แต่ในทางกลับกัน หากตีความผิดจนเราเข้าใจสิ่งใดผิดๆ มันก็อันตรายเสมอเช่นเดียวกัน

ช่วงนี้มีโปรเจคทำเว็บประกวดให้กับบริษัทประกันเชื้อสายญี่ปุ่นเจ้านึง ให้เวลาค่อนข้างบีบคั้น และ รู้สึกว่าเป็นงานที่เหนื่อยล้าพอสมควร ตอนแรกผมก็คิดถึงเรื่องเงินรางวัลนั่นแหละครับ ถึงได้ลงแข่งขันกับเขาด้วย แต่พอเอาเข้าจริงแล้วมาอยู่ในจุดที่ต้องเข้าถึง และ รู้สึกจริงๆ.. ผมรู้สึกว่าเงินรางวัลเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น งานนี้ทำให้ผมเข้าใจอะไรบางอย่าง บางอย่างที่เห็นผล และ สอนเราอย่างเข้าใจ

แท้จริงแล้ว โปรแกรมเมอร์ ไม่ได้ทำงานแข่งกับเวลาเท่าไหร่เลยครับ สิ่งที่น่ากังวลคือ โปรแกรมเมอร์ แข่งขันกับความกดดันมากกว่า

งานนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับโปรเจคจบผมอยู่เล็กน้อย แค่ขอบเขตการทำงานที่น้อยกว่า แต่ใช้เวลาในการทำน้อยกว่าโปรเจคจบอยู่มาก จนผมเข้าใจ เข้าใจแล้วว่า แท้จริงแล้วมันก็เหมือนกับการพิสูจน์อะไรบางอย่างของตัวเอง การสร้างคุณค่าให้ตัวเอง ผมเคยรู้สึกว่าหมกมุ่นไม่อยากจะสนใจสิ่งรอบข้าง ใครทักก็ไม่อยากตอบ ข้าวก็ไม่อยากเสียเวลามากิน มันสอนให้รู้บางสิ่งบางอย่างว่า อย่าจมอยู่ภายใต้แรงกดดัน แบ่งเวลามองปัญหา และ ค่อยๆคิด ท้ายที่สุดแล้ว.. เราจะรู้ตัวเองว่าเราได้อะไรที่มากกว่าผลตอบแทน มันเหมือนกับเป็นสิ่งที่เสริมความมั่นใจในวิชาชีพ และ เสริมความมั่นใจที่จะกล้าตัดสินใจอะไรต่ออะไรมากขึ้นไม่มากก็น้อย.

ท้ายที่สุดแล้วมันก็ตกเป็นเรื่องของมุมมอง เราเลือกได้ว่าจะตัดสินใจมองโลกแบบใด แต่มันก็มีสิ่งที่จะต้องให้คิดอีกเล็กน้อยตามมาเสมอๆ.. เรามักคิดไม่พ้นในสิ่งที่ตาเห็น นั่นเองคือความน่ากลัว

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ