ข้างใน

เรื่องส่วนตัว

ผมเริ่มรู้สึก เริ่มรู้สึกแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม.. ผมรู้สึกว่าผมกำลังอยู่ในเมืองหลวง อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินผ่านกันไปมา บ้างก็ต่างเร่งรีบ-ร้อนรน-ไม่ใส่ใจ รู้สึกเหมือนกับว่าอยู่คนเดียว รู้สึกเหงา รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ทั้งๆที่ก็มีคนอยู่รอบๆเต็มไปหมด โดยตลอดเวลาทั้งชีวิตที่ผ่านมา การเป็นลูกคนเดียวนั้นไม่เคยทำให้ผมรู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อย ทำไมใครต่อใครชอบคิดกันไปว่าการอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว นั้นดูเหงา.. แท้จริงแล้วไม่ใช่ ไม่ใช่เลย

การดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คน และ สิ่งแวดล้อมที่ไม่ใช่สำหรับเรา ผมคิดว่านั่นแหละ คือสิ่งที่เหงาที่สุดเท่าที่เคยเจอมา

เหมือนที่เคยบอกไว้ในบทความก่อนๆ ผมรักงานที่ผมทำอยู่ เหมือนเป็นเรื่องวิเศษณ์ที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ต้องการทำอะไร แต่เหมือนมีตัวเบรคความรู้สึกเราลึกๆอยู่หนึ่งอย่างคือสิ่งที่เราต้องเจอทุกวันที่ล้อมรอบสิ่งที่เราต้องการเอาไว้ ท้ายที่สุดแล้วผมคิดว่าที่นี่ไม่เหมือนบ้าน ไม่ใช่ที่ๆกลับมาจากการทำงานหรืออะไรก็แล้วแต่จากความเหนื่อยล้าแล้วจะผ่อนคลายหรือมีความสุขใดๆได้ จนต้องย้อนกลับมามองตัวเอง ถามตัวเอง ตั้งคำถามประกอบกับความรู้สึกที่มากมายอยู่ในหัวสมอง จนบางทีก็คิดไปว่า “บางทีสิ่งเร้าภายนอก ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยหรอก ความคิดที่เยอะแยะของเราเองต่างหากที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อย”

ความน่าอยู่ของโลกมันน้อยลงหรือเปล่าครับ แล้วถ้าคุณรู้สึกว่ามันน้อยลง.. มันจะน้อยลงด้วยเหตุผลอะไรครับ ?

ผมคิดว่าแก่นแท้ของเรื่องนี้คือสิ่งเดียวที่คนส่วนมากโหยหาโดยไม่เคยสนใจว่าจะต้องเหยียบหัวใครต่อใครเพื่อให้ได้มา.. “เงิน” ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา เราเคยตั้งคำถามต่อตัวเองหรือเปล่าครับ ว่าแรงจูงใจของวันแต่ละวันคืออะไร.. แล้วถ้าเราตั้งคำถามขึ้นมาแล้ว เราจะซื่อสัตย์ตอบต่อคำถามตัวเองได้หรือเปล่า ผมพยายามจะหาคำตอบต่อคำถามที่ตั้งขึ้นในแต่ละวัน.. นั่งมองมันออกไปนอกหน้าต่าง ให้ความคิดฟุ้งอยู่ในอากาศซักพักแล้วนึกกลับมาย้อนดูตัวเราว่าท้ายที่สุดแล้วแรงจูงใจของเราคืออะไร ผมมีความฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากจะมีอะไรต่ออะไรเป็นของตัวเองอย่างที่คนอื่นเขามีบ้าง.. แต่สิ่งที่อยากได้ของผมนั้นเงินไม่เคยซื้อมันได้

เมื่อกรุงเทพฯ.. ไม่ใช่ที่ของฉัน

ทุกครั้งที่เห็นคนเก่งได้รางวัล ถูกกล่าวขาน ถูกยกย่อง เราอยากเป็นแบบนั้นบ้าง อยากเป็นใครสักคนที่แบกบั่นความลำบากจากต้นขึ้นไป startup ตัวเองเป็นอย่างที่ใครต่อใครสามารถทำได้บ้าง ทำไมทุกครั้งที่เราเห็นคนรอบตัวได้ดิบได้ดีมีความรู้เป็นที่ต้องการของวงการใดวงการหนึ่งประดุจดั่งขาดคนๆนั้นไปไม่ได้ มันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า “ทำไมเราทำไม่ได้อย่างเขาบ้าง ต้องอดทนแค่ไหน พยายามยังไงถึงจะไปถึงจุดนั้นได้บ้าง” มันค่อนข้างแตกต่างกับคนที่มีเงินเป็นแรงจูงใจอยู่ไกลมากเลยนะ เหมือนกับเคยมีคนเล่าให้ฟังว่า คนเล่นหุ้นรวย พอถึงเวลานึงที่เราต้องผ่านจุดนั้นไป เดี๋ยวก็มีคนมาแทนเราอยู่ดี แตกต่างกับคนบางคน ทำให้ตัวเองเหมือนเป็น specialist จนถึงจุดๆนึงมันก็ยากที่จะให้ใครมาแทนที่คนนั้นได้ แล้วเราอยากจะเป็นแบบไหน ? แค่ผ่านมา, ได้สิ่งที่เราต้องการแล้วก็ไป “แค่นั้นหรอครับ” มันเหมือนกับความรู้สึกเหมือนโดนใครต่อใครถามสมัยยังเป็นเด็ก..

“หนูอยากเป็นอะไรในอนาคต ?” … ” ทำไมถึงอยากจะเป็นละ?”

เราต่างคิดว่าอะไรก็ตามที่เราไม่เคยเจอ แต่คาดหวังว่าอยากจะเจอนั้นสวยงามเสมอตั้งแต่ตอนแรก แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ต่างมารู้กันทีหลังว่าเออมันไม่ได้สวยงามเลิศเลออย่างอุดมคติของเด็กน้อยคนนั้นคิดหรอก เมื่อเราได้สิ่งของสิ่งหนึ่งที่เราคาดหวังว่าอยากจะได้มากๆแล้ว… สุดท้ายเมื่อได้มา มันก็จะเกิดคำถามต่อไปว่า “แล้วไงต่อ แล้วยังไง ต้องอะไรอีก” ทุกคนต่างมี influencer คนละแบบกันนั่นเป็นเรื่องธรรมดา บางคนอาจจะมี influencer เป็นคนทำงานใดๆงานหนึ่ง มีเทคนิคการพูดจาโน้มน้าวจนรวยเสียดฟ้า หรือใครบางคนอาจจะมี influencer เป็นคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตธรรมดาแต่อุทิศตนช่วยเหลือองค์กรหรือเพื่ออะไรบางอย่างก็แล้วแต่

ผมก็เหมือนกัน เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยากจะทำงานง่ายๆสบายๆแล้วรวยอู้ฟู่ อยากจะลองทำอะไรเป็นของตัวเองบ้าง, ให้ใครหรือเพื่อใครบ้าง เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยากจะเป็นนักเสพย์ ที่เหมือนกับแค่ทำงาน-รู้วิธีทำงานให้ได้ของที่ต้องการ แต่เราอยากจะเป็นเหมือนใครบางคน ที่ประดิษฐ์หรือพัฒนาอะไรขึ้นมาให้ใครต่อใครได้ชื่นชมได้ใช้ เหมือนกับที่ steve jobs คิดค้น macintosh เหมือนกับที่ bill gates สร้าง windows ขึ้นมาเป็นนวัตกรรมให้โลกรุ่นต่อๆไปขาดไม่ได้เหมือนปัจจุบัน

“โลกไม่ได้สนใจว่าเราทำอะไรสำเร็จบ้าง โลกสนใจแค่ว่าเราทำอะไรให้ใครแล้วบ้างมากกว่า”

แชร์บทความนี้

    แสดงความเห็นของคุณที่นี่

    กรุณากรอกอีเมล์ของคุณก่อนส่งข้อมูล เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนมาตอบข้อความของคุณ